กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ยมฺหิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ อกิจฺจํ ปน กยีรติ
อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา.
คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ ไปทำกิจที่ไม่ควรทำ เมื่อเขาถือตัว
มัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ.
(พุทฺธ) ขุ. ธ.
๒๕/๕๔.
-------------------
แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า
๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกัน แต่จะซํ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กําหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
-------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง
? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ? จงอธิบาย
๑. ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา
ถ้าเพ่ง
กาหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา
เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน
เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์
คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง
เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา
บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา
ฯ
๒. มหาภูตรูป คือ อะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?
๒. คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย
ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ลม ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป
เมื่อรูปใหญ่แตกทาลายไป
อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทาลายไปด้วย
ฯ
๓. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา
คือทรงประพฤติอย่างไร ?
๓. ทรงทาหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้
บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น
และทรงบัญญัติสิกขาบท
อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร
ฯ
๔. ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร
?
๔. ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอานาจหัวดื้อ
จนเป็นเหตุเถียงกัน
ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน
คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน
ด้วยอานาจความเชื่อว่าขลัง
จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
๕. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร
?
๕. ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น
บุคคลย่อมหมด
โอกาสที่จะทาประโยชน์ใดๆ
อีกต่อไป ฯ
๖. พระพุทธคุณบทว่า “อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้
ไม่มีใครยิ่งกว่า” คาว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้”
นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
๖. หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา
แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม
ฯ
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร
?
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด
นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น
ฯ
กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์
เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ
๘. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ
?
๘. ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ
ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ
จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ
๙. พุทธภาษิตว่า ผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี
ผู้ทากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่
ปรากฏว่าผู้ทากรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี
ผู้ทากรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุใด ?
๙. เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า
หรือในภพต่อ ๆ ไป
ผู้ทากรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น
กรรมดีที่เขา
ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่
แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่
เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น
ส่วนผู้ทากรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น
เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่
จึงต้องรับทุกข์ลาบากอยู่
ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทาไว้นั้นยังไม่สูญหายไป
ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา
ตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที
ฯ
๑๐. คาว่า “วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร
? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง
เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ
บัญญัติขึ้น
ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น
แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก
ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัย นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง
?
๑. ต้องอาบัติถุลลัจจัย และ ทุกกฏ ฯ
๒. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร
? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ?
๒. ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
๓. ภิกษุไม่ต้องนาผ้าไตรจีวรไปครบสารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง
?
๓. ใน ๒ กรณี คือ
๑. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้
คือ
๑.คราวเจ็บไข้
๒.สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓.ไปสู่ฝั่งแม่น้า
๔.วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕.ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖.ได้กรานกฐิน ฯ
๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้
คือ
๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๒. ได้กรานกฐิน ฯ
๔. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสาหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะ
ของสงฆ์ ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าทาเปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย
ฯ
๕. วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน ?
มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร ?
๕. คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ
ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย
คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทาให้
ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ
แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง
เป็นที่ตาหนิของบัณฑิตทั้งหลาย
ฯ
๖. ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๖. ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน
ฯ
๗. อเนสนา คืออะไร ? ภิกษุทาอเนสนา
ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๗. คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร
ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์
และ ทุกกฏ ฯ
๘. ความรู้ในการทาเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร
?
๘. เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ
และเป็นความรู้ที่ทาให้เขา
สงสัยว่าลวง ทาให้เขาหลงงมงาย
ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียน
เป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย
ฯ
๙. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ?
๙. คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน
ฯ
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกาหนด
ด้วยสงฆ์เท่าไร ? และกาหนดเขตอย่างไร ?
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กาหนดด้วยสงฆ์
แต่เป็น
ธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ
กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่าน
ห้ามไม่ให้จาพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น
เช่น ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม
หรือในกระท่อมผี เป็นต้น
ฯ และให้กาหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯ
ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม
กาหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ
และกาหนดให้ทาภายในเขตสีมา
ถ้าต่ากว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะ
ถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑. ประวัติอนุพุทธบุคคลมีความสาคัญต่อผู้ศึกษาอย่างไร
?
๑. ทำให้ผู้ศึกษำได้รับควำมรู้ในจริยำวัตรและคุณควำมดีที่ท่ำนได้บำเพ็ญมำ
ตลอด
จนถึงผลงำนในกำรช่วยเผยแผ่พระพุทธศำสนำอันทำให้เจริญสืบมำถึงทุกวันนี้
นำให้เกิดควำมเลื่อมใสและควำมนับถือ
เป็นทิฏฐำนุคติอันดี สำมำรถน้อมนำมำ
ปฏิบัติตำมได้ ฯ
๒. คาที่มีอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรต่อไปนี้
ได้แก่อะไร ?
ก. ส่วนสุด ๒ อย่าง
ข. มัชฌิมาปฏิปทา
๒. ก. ส่วนสุด ๒ อย่ำง
คือ
๑. กำมสุขัลลิกำนุโยค ควำมหมกมุ่นอยู่ในกำม
๒. อัตตกิลมถำนุโยค ควำมทำตนให้ลำบำก
ข. มัชฌิมำปฏิปทำ ได้แก่ข้อปฏิบัติสำยกลำง คือ
มรรคมีองค์ ๘ ฯ
๓. ความเป็นผู้สารวมกิริยาอาการให้เรียบร้อยดีงามสมความเป็นสมณะ
เป็นการ
เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ทางหนึ่ง
ในข้อนี้มีปฏิปทาของพระสาวกองค์ใดเป็น
ตัวอย่าง ? จงเล่าประวัติโดยสังเขปมาประกอบ
๓. พระอรหันตสำวกทุกรูปล้วนเป็นผู้สำรวมกิริยำอำกำรเรียบร้อยดีงำมทั้งสิ้น
แต่ที่
ได้รับยกย่องเป็นพิเศษคือพระอัสสชิเถระ
ท่ำนมีกิริยำอำกำรที่น่ำเลื่อมใส เป็นเหตุ ให้อุปติสสะปริพำชกเห็นแล้วเกิดศรัทธำ เข้ำไปหำ
ขอฟังธรรมจนได้บรรลุ
โสดำปัตติผล ภำยหลังยังชักชวนสหำยของตนเข้ำมำบวชในพระธรรมวินัย
ได้เป็น
กำลังสำคัญช่วยพระศำสดำเผยแผ่พระพุทธศำสนำให้เจริญรุ่งเรืองกว้ำงขวำง
และมั่นคงอย่ำงรวดเร็ว ฯ
๔. พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมาก
คือใคร ? เพราะท่านมีคุณธรรมอะไร ?
๔. คือ พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพรำะท่ำนรู้จักสงเครำะห์บริวำรด้วยอำมิสบ้ำง
ด้วยธรรม บ้ำง จึงเป็นที่รักใคร่นับถือ สำมำรถยึดเหนี่ยวน้ำใจบริวำรไว้ได้ ฯ
๕. ธรรมเสนาบดี และ นวกัมมาธิฏฐายี เป็นนามของพระสาวกองค์ใด?เพราะเหตุไร จึงมีนามเช่นนั้น ?
๕. ธรรมเสนำบดี เป็นนำมของพระสำรีบุตรเถระ เพรำะท่ำนเป็นกำลังสำคัญยิ่งในกำร
ประกำศพระพุทธศำสนำ ฯ นวกัมมำธิฏฐำยี เป็นนำมของพระโมคคัลลำนเถระ เพรำะท่ำนเป็นผู้สำมำรถกำกับดูแลกำรก่อสร้ำง
ฯ
๖. พระศาสดาทรงประทานพระโอวาทเป็นการให้อุปสมบทแก่พระมหากัสสปะไว้
กี่ข้อ ? อะไรบ้าง ?
๖. ๓ ข้อ คือ
๑. เรำจักเข้ำไปตั้งควำมละอำยและควำมยำเกรงอย่ำงแรงกล้ำไว้ในภิกษุ
ทั้งที่เป็นเถระ ปำนกลำง และผู้ใหม่
๒. เรำจักเงี่ยหูลงฟังธรรม อันประกอบด้วยกุศล
และพิจำรณำเนื้อควำมแห่งธรรมนั้น
๓. เรำจักไม่ละสติที่ไปในกำย ฯ
๗. พระมหากัจจายนะ นิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธเจ้า
? มีอะไรเป็นข้ออ้าง ?
๗. พระมหำกัจจำยนะ นิพพำนหลังพระพุทธเจ้ำ มีมธุรสูตรเป็นข้ออ้ำง
โดยมี
ใจควำม ตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นว่ำ พระเจ้ำมธุรรำชตรัสถำมว่ำ
เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภำคเจ้ำ นั้นเสด็จอยู่ ณ ที่ไหน พระมหำกัจจำยนะทูลว่ำ พระผู้มีพระภำคเจ้ำปรินิพพำนแล้ว
ฯ
ศาสนพิธี
๘. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตให้มีในวันใดบ้าง ?
๘. คือ วันกำหนดประชุมฟังธรรม หรือที่เรียกว่ำ
“วันพระ” ฯ ในวัน ๘ ค่ำ และ
วัน ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำของปักษ์ทั้งข้ำงขึ้นและข้ำงแรม
ฯ
๙. ผ้าป่าคือผ้าอะไร ? คาพิจารณาผ้าป่าว่าอย่างไร ?
๙. คือ ผ้ำบังสุกุลจีวร ได้แก่ผ้ำเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้ำของหวงแหน
ทิ้งอยู่ตำมป่ำดงบ้ำง
ตำมป่ำช้ำบ้ำง ตำมถนนหนทำงและห้อยอยู่ตำมกิ่งไม้บ้ำง
ที่สุดจนกระทั่งที่เขำ
อุทิศไว้แทบเท้ำ รวมเรียกว่ำ “ผ้ำป่ำ” ฯ
คำพิจำรณำผ้ำป่ำว่ำ อิม ป
สุกูลจีวร อสฺสำมิก มยฺห ปำปุณำติ หรือว่ำ
อิม วตฺถ อสฺสำมิก ป สุกูลจีวร
มยฺห ปำปุณำติ ฯ
๑๐. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ ?
ก. ปำฏิปุคคลิกทำน
ข. เภสัชทำน
ค. สลำกภัตต์
ง. ผ้ำวัสสิกสำฎก
จ. ผ้ำอัจเจกจีวร
๑๐. ก. คือทำนที่ถวำยเจำะจงเฉพำะรูปนั้นรูปนี้
ข. คือกำรถวำยเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน
น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ค. คือภัตตำหำรที่ทำยกทำยิกำถวำยตำมสลำก
ง. คือผ้ำที่อธิษฐำนสำหรับใช้นุ่งในเวลำอำบน้ำฝน
หรืออำบน้ำทั่วไป
จ. คือผ้ำจำนำพรรษำที่ทำยกรีบด่วนถวำยก่อนกำหนดกำล ฯ
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ.
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทากรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก
เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้.
( พุทฺธ ) ขุ. ธ. ๒๕/๓๓.
--------------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกันแต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ
?
เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ?
๑. คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์ สอนก่อนบรรพชา
ฯ
ถ้าเพ่งกาหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา
จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้น พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ
จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ
๒. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา
?
๒. คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรอง ด้วยของ ต้อนรับตามสมควรด้วยไมตรีจิต
ฯ
ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี
๒ อย่าง คือ
๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุ
สิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้า หรือที่พัก เป็นต้น
๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการ
ต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้มาเยือน หรือการให้คาแนะนา ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น
ฯ
๓. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร
?
๓. กามวิตก ทาใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ
พยาบาทวิตก
ทาให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทาร้ายผู้อื่น
วิหิงสาวิตก
ย่อมครอบงาจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่
ประโยชน์สุขส่วนตัว
ฯ
กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน
พยาบาทวิตก
แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร
วิหิงสาวิตก
แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ
๔. พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทา
โดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ?
๔. ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ ยังจากัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็นพรหมวิหาร
ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จากัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ฯ
๕. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
มีอะไร เป็นเครื่องหมาย ?
๕. คือ ของทาบุญ ฯ
มีกัลยาณธรรมของทายก
หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมาย ให้รู้ว่า บริสุทธิ์ และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม
ของทายกหรือ ปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ ฯ
๖. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร
?
๖. คือ สิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทา ความดี
จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
หมายถึง อกุศลกรรม
ฯ
๗. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคาว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้”
? พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบายว่าอย่างไร ?
๗. บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ
มีอธิบายว่า
พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ ได้ทุกเวลาและสามารถนาไปประพฤติในชีวิตประจาวันเพื่อประโยชน์
สุขได้ ฯ
๘. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทาอย่างไร
?
๘. ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดี ที่บาเพ็ญอย่างพิเศษ
เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ
คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
วางจุดหมายแห่งการกระทาของตน ไว้แน่นอนและดาเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ ฯ
๙. คาต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
ก. ชนกกรรม
ข. อุปัตถัมภกกรรม
ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
ง. อุปปัชชเวทนียกรรม
จ. กตัตตากรรม
๙. ก. กรรมแต่งให้เกิด
ข. กรรมสนับสนุน
ค. กรรมให้ผลในภพนี้
ง. กรรมให้ผลในภพหน้า
จ. กรรมสักว่าทา คือกรรมที่ทาด้วยไม่จงใจ ฯ
๑๐. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์
คือการ ถือปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือ การถืออยู่ป่าเป็นวัตร
หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือ บริเวณป่าและจะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย
๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร
?
๑. คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ถ้าล่วงละเมิดแต่บางอย่างหรือบางครั้งก็เสียหายน้อย
แต่ถ้าล่วงละเมิด มากอย่างหรือเป็นนิตย์ ธรรมเนียมย่อมกลายไปหรือเสื่อมไป ภิกษุ จะแตกเป็น
๒ พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ฯ
๒. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตาม วินัยแผนกอภิสมาจาร
?
๒. พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บ
ให้เกลี้ยงเกลาด้วยมุ่งหมายให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัด มลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่
นี้เป็นกิจควรทา ฯ
๓. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใส ของประชาชน
?
๓. การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า
ภิกษุย่อมนิยมใช้สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบๆ ไม่ใช้ ของดีที่กาลังตื่นกันในสมัยอันจะพึงเรียกว่าโอ่โถง
ความประพฤติปอน ของภิกษุนี้ย่อมทาให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ
แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ
๔. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร
?
๔. คือ ผ้าสาหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดู หนาว ฯ
มีเรื่องเล่าว่า
ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี
ต้องผ้า ๓ ชั้นจึง พอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ ชั้นเดียว
จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
๕. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความ เจริญงอกงามในพระธรรมวินัย
?
๕. พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และ สัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิทสนมในกันและกัน
ให้พระอุปัชฌาย์สาคัญ สัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉันบิดา
เมื่อเป็น เช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย
ฯ
๖. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรง สั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่าอย่างไร ?
๖. ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา ของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะ
พยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้น พยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
๗. วิธิวัตร คืออะไร ? มีความสาคัญอย่างไร ?
๗. คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่นแบบอย่างการห่มผ้าเป็นต้น ฯ
แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่าเสมอกัน
เช่นนุ่งห่ม เป็นแบบเดียวกันอันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะ ไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน
ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละอย่าง จนไม่มี อะไรเหลือเมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน
ฯ
๘. การจาพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ
๘. การจาพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทาอาลัย คือ ผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน
แต่ในบัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคาอธิษฐานพร้อม กันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิม
เตมาส วสฺส อุเปม แปลความว่า เราเข้าถึง ฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
๙. ในการทาอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์ และการอธิษฐาน
ทรงให้ทาได้ในกรณีใด ?
๙. ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามี เพียง
๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตน แก่กันและกัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล
ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้ เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
๑๐. คาว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้
จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสาหรับภิกษุเอาไว้ใช้สาหรับตัว
(เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น
ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ
พึงทาพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า
อิม พินฺทุกปฺป กโรมิ เราทาหมาย ด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า
อิม สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิ
ผืนใหม่ว่า อิม สงฺฆาฏึ อธิฏฺามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้
ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสาคัญต่อพระศาสดา
อย่างไร ?
๑. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสาคัญอย่างนี้
แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อ ขาดผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สาเร็จประโยชน์
ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่าน หนักไปทางไหน ในตาราทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ
? ขอฟังเหตุผล
๒. เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตารา แน่ใจ
จึงบวชตามและเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวัง นี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า
เลิกเสียเป็นอันไม่สาเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สาเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ
อาการที่คัดค้าน และพูดถ้อยคาที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว
ฯ
๓. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลาเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร
?
๓. อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส
เนื่องจากได้เห็นอาการของ พวกชนบริวารอันวิปริตไปโดยอาการต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้
เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนา จนบรรลุเป็นพระอรหันต์
จึงได้ออกบวช ฯ
๔. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร
?
พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้ ?
๔. เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง
ฯ
ดีอย่างนี้คือ
ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อัน บริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่
เป็นผู้อันจะพึงปรารถนา ในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ
ฯ
๕. เมื่อเอ่ยถึง พระสารีบุตร ทาให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ?
ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตร
กี่วัน ?
๕. คือพระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม
แขวงมคธ ก่อนพระ สารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตาบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕
วัน ฯ
๖. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป
เพราะ การงานที่ผู้อื่นทาไม่ดี” แล้วมีใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวช
คือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน
? เพราะเหตุใด ?
๖. คือ พระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะ ท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจา คือ ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
๗. พระสาวก ผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือ ใคร
? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?
๗. คือ พระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคาที่ย่อ ให้พิสดาร ฯ
ศาสนพิธี
๘. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร
?
๘. คือ พิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑. ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
๙. การทาวัตร คืออะไร ? ทาวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด
?
๙. คือ การทากิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทากิจ ที่ต้องทาประจาจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า ทาวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทาวัตรสวดมนต์นี้
บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทา เมื่อทาประจาวันละ
๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้
ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๑๐. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะ รักษาเพียงศีล
๕ เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่ง พระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า
อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ
มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ
๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
*********
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
สีลสมาธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต ฯ
ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณคือศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจเพราะขันติเท่านั้น
ฯ
ส. ม. ๒๒๒
--------------------
แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกันแต่จะซํ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กําหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร? ชื่อว่าพระอเสขะ
เพราะอะไร ?
๑. ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทาแล้ว
ฯ
๒. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จงอธิบาย ?
๒. เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็นอะไร
ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า
อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง
๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ
ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ
๓. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง
?
๓. ได้แก่ พระธรรม และ พระวินัย ฯ ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม
๑ ฯ
๔. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร?
๔. กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง
๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ
ฯ
๕. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง
จงอธิบาย ?
๕.กรรม คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว
และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น
แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น
และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ ฯ
๖. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๖. คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ
มี สุญญตวิโมกข์
อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
๗. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง
?
๗. ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้
๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๘. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา
และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ?
๘. คือ กาเนิด ฯ
มี ชลาพุชะ
เกิดในครรภ์ อัณฑชะ เกิดในไข่
สังเสทชะ
เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน
โอปปาติกะ ฯ
๙. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร
?
๙. เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข
โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา ๓
สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา
๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา
๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
๑๐. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่ต่างกันอย่างไร
?
๑๐. อุปัตถัมภกกรรม ทาหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม
ทาหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ
***********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
๑. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ?
การเรียนอนุพุทธประวัติสาเร็จประโยชน์อย่างไร ?
๑. สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย
ปัจเจกพุทธะ
ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
อนุพุทธะ
ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้กระทาตามด้วย
ฯ
เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน
ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็นเหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคง แล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ
บาเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านโดยควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สาเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย
ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน
? เรียนจบอะไร ? ทาไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ
?
๒. ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ
เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ
อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ
เรียนจบไตรเพทและรู้ตาราทานายลักษณะ
ฯ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า
อญฺญาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงเปล่งเมื่อท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
ฯ
๓. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นากลับไปตามความประสงค์เดิม
?
๓. เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป
ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ
๔. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพาท่านไปกรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร
?
๔. พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของตน
เห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท
ฯ
ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน
เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ฯ
๕. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕. ข้อต้น เพื่อป้องกันคาติเตียนว่า พระอานนท์บารุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ
ข้อหลัง เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า
พระอานนท์บารุงพระศาสดาไปทาอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ
๖. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ?
๖. มี
๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จาเพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จาต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ
ฯ
๗. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร
?
๗. เป็นคนที่ ๑๕ ฯ เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน
แต่เมื่อปรารภจะทูลถามเป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่
๑๕ ฯ
๘. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน
? จงบอกมาสัก ๒ คู่
๘. (ตอบเพียง ๒ คู่)
พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร
พระอัสสชิกับพระสารีบุตร
พระสารีบุตรกับพระราธะ
พระสารีบุตรกับพระราหุล
พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ
ฯ
ศาสนพิธี
๙. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้
?
๙. คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไป จาพรรษาในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส
โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
จนเป็นประเพณีทาบุญตักบาตรที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร
?
๑๐. บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน
โดยเฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทาเมื่อป่วยหนัก เป็นการกาหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง
ฯ
ว่า อจิร
วตย กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ
นิรตฺถ ว กลิงฺคร ฯ
***********
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสฺสี สุขสีลวา
ปิโย เทวมนุสฺสานํ มนาโป โหติ ขนฺติโก.
ผู้มีขันตินับว่ามีเมตตา มีลาภ มียศ และมีสุขเสมอ,
ผู้มีขันติเป็นที่รัก ที่ชอบใจของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
ส.ม. ๒๒๒.
--------------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกันแต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้ามานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
๑. รูปในขันธ์ ๕ แบ่งเป็น ๒ ได้แก่อะไรบ้าง? จงอธิบายมาสั้นๆ
พอเข้าใจ
๑. ได้แก่ มหาภูตรูป และ อุปาทายรูป
มหาภูตรูป
คือ รูปใหญ่ อันได้แก่ ธาตุ ๔ มีดิน น้า ไฟ ลม
อุปาทายรูป
คือ รูปอาศัย เป็นอาการของมหาภูตรูป เช่น ประสาท ๕ มีจักขุประสาทเป็นต้น โคจร ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้น
ฯ
๒. เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ต่างกันอย่างไร ?
๒. เจโตวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุฌานมาก่อนแล้ว จึงบาเพ็ญวิปัสสนาต่อ
ส่วนปัญญาวิมุตติ เป็นวิมุตติของท่านผู้ได้บรรลุด้วยลาพังบาเพ็ญวิปัสสนาล้วน
อีกนัยหนึ่ง
เรียกเจโตวิมุตติเพราะพ้นจากราคะ เรียกปัญญาวิมุตติเพราะพ้นจากอวิชชา ฯ
๓. กิจจญาณ คืออะไร ? เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร
?
๓. คือ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา ฯ
ปรีชาหยั่งรู้ว่า
ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกาหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นธรรมชาติที่ควรละ ทุกขนิโรธเป็นธรรมชาติที่ควรทาให้แจ้ง
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทาให้เกิด ฯ
๔. ปาฏิหาริย์ ๓ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนเป็นอัศจรรย์ที่สุด
?
๔. มี อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์
อาเทสนาปาฏิหาริย์
ดักใจเป็นอัศจรรย์
อนุสาสนีปาฏิหาริย์
คาสอนเป็นอัศจรรย์ ฯ
อนุสาสนีปาฏิหาริย์
เป็นอัศจรรย์ที่สุด ฯ
๕. กิเลส กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย
๕. เพราะวน คือหมุนเวียนกันไป ฯ อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม ครั้นทากรรมแล้ว
ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
๖. คาว่า พระโสดาบัน และ สัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ?
๖. พระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก ฯ
สัตตักขัตตุปรมะ
คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ
๗. อบาย ได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๗. ได้แก่ ภูมิ กาเนิดหรือพวก อันหาความเจริญมิได้ ฯ
มี นิรยะ
คือนรก ติรัจฉานโยนิ คือกาเนิดดิรัจฉาน
ปิตติวิสัย
คือภูมิแห่งเปรต อสุรกาย คือพวกอสุระ ฯ
๘. มานะ คืออะไร ? ว่าโดยย่อ ๓ อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง
?
๘. คือ ความสาคัญตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ฯ
ได้แก่ ๑. สาคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๒. สาคัญตัวว่าเสมอเขา
๓. สาคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ฯ
๙. สมุทัยวาร กับ นิโรธวาร ในปฏิจจสมุปบาท ต่างกันอย่างไร ?
๙. สมุทัยวาร คือการแสดงความเกิดแห่งผล เพราะเกิดแห่งเหตุ
ส่วนนิโรธวาร
คือการแสดงความดับแห่งผล เพราะดับแห่งเหตุ ฯ
๑๐. ธุดงค์ คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์
?
๑๐. คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบาย ขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ ยารักษาโรค
ฯ
***********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? ปรับอาบัติได้กี่อย่าง ?
อะไรบ้าง ?
๑. คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ ปรับอาบัติได้ ๒ อย่าง ฯ คือ ถุลลัจจัยและทุกกฏ ฯ
๒. มีข้อกาหนดในการไว้ผมยาวของพระภิกษุอย่างไร ? ในการโกนผม
ภิกษุใช้กรรไกรแทนมีดโกนได้หรือไม่ ?
๒. ไว้ได้เพียง ๒ เดือน หรือ ๒ นิ้ว เป็นอย่างยิ่ง ฯ
ไม่ได้ เว้นไว้แต่อาพาธ
ฯ
๓. จีวรผืนหนึ่ง มีกาหนดจานวนขัณฑ์ไว้อย่างไร ? ใน
๑ ขัณฑ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
๓. กาหนดจานวนไว้ไม่น้อยกว่า ๕ ขัณฑ์ แต่ให้เป็นขัณฑ์คี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ ประกอบด้วยมณฑล อัฑฒมณฑล กุสิ อัฑฒกุสิ
ฯ
๔. นิสัยระงับ กับ นิสัยมุตตกะ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. นิสัยระงับ หมายถึงการที่ภิกษุผู้ถือนิสัยขาดจากปกครอง
นิสัยมุตตกะ
หมายถึงภิกษุผู้ได้พรรษา ๕ แล้ว และมีคุณสมบัติพอรักษาตนผู้อยู่ตามลาพังได้ ทรงพระอนุญาตให้พ้นจากนิสัย
ฯ
๕. ในคาว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรได้แก่อะไร ? มีอะไรบ้าง
?
๕. ได้แก่ ขนบ คือแบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ
แก่บุคคลนั้นๆ ฯ
มี
๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๖. เพื่อแสดงความเคารพในภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า เมื่ออยู่ในกุฎีเดียวกับท่าน ควรปฏิบัติตนอย่างไร
?
๖. ควรปฏิบัติตนอย่างนี้ คือ จะทาสิ่งใดๆ ควรขออนุญาตท่านก่อน เช่น จะสอนธรรม
จะอธิบายความ จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดับไฟ จะเปิดจะปิดหน้าต่าง ห้ามมิให้ทาตามอาเภอใจ
ฯ
๗. การทาอุโบสถสวดปาติโมกข์ นอกจากวันพระจันทร์เพ็ญและพระจันทร์ดับแล้ว ยังทรงอนุญาตให้ทาได้ในวันใดอีก
? อุโบสถเช่นนั้น เรียกว่าอะไร ?
๗. ในวันที่ภิกษุผู้แตกกันปรองดองกันได้ ฯ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ ฯ
๘. ในวัดหนึ่งมีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาพึงทาอย่างไร
? ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาสมทบอีก ๕ รูป จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๘. ในวันมหาปวารณาพึงทาคณะปวารณา โดยรูปหนึ่งตั้งญัตติแล้วกล่าวปวารณาตามลาดับพรรษา
ฯ ถ้ามีภิกษุอาคันตุกะสัตตาหะมาเพิ่มอีก ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นสังฆปวารณา แล้วกล่าวปวารณาตามลาดับพรรษา
ฯ
๙. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล”
เพราะประพฤติอย่างไร ?
๙. เพราะประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส คือ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์
ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการ เอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ฯ
๑๐. กาลิก มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? กล้วยดองน้าผึ้งเป็นกาลิกอะไร
?
๑๐. มี ๔ ฯ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ฯ
เป็นยาวกาลิก
ฯ
***********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
๑. พุทธบุคคล มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
๑. มี ๓ ประเภทฯ คื ๑. พระสัมมาสัมพุทธะ ๒. พระปัจเจกพุทธะ ๓. พระอนุพุทธะ ฯ
๒. ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนหลังกันอย่างไร ?
๒. ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ต่อมาท่านวัปปะและท่านภัททิยะจึงได้
และต่อมาท่านมหานามะและท่านอัสสชิจึงได้ตามลาดับ ฯ
๓. พระสาวกผู้สาเร็จเป็นพระอริยบุคคลเพราะฟังธรรมเทศนาเรื่องเดียวซ้า ๒ ครั้ง
คือใคร ? ธรรมเทศนาเรื่องอะไร ?
๓. คือ พระยสะฯ เรื่อง อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ฯ
๔. อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงแก่ใคร ?
๔. อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์
อาทิตตปริยายสูตร
ว่าด้วยเรื่อง สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะโทสะโมหะ ฯ
ทรงแสดงแก่ชฎิล
๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ
๕. อุปติสสปริพาชกเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ? มีใจความว่าอย่างไร ?
๕. จากพระอัสสชิ ฯ มีใจความว่า พระศาสดาทรงแสดงความเกิดแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะเป็นไปแห่งเหตุ
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะดับแห่งเหตุ พระศาสดาตรัสอย่างนี้ ฯ
๖. พระมหากัสสปเถระเป็นประธานในการทาสังคายนาครั้งแรกที่ไหน ? ใช้เวลานานเท่าไร ?
๖. ที่ถ้าสัตตบัณณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ฯ ใช้เวลา ๗ เดือน ฯ
๗. การบวชของพระมหากัจจายนะ มีความเป็นมาอย่างไร ?
๗. มีความเป็นมาอย่างนี้ ท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้ไปทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงอุชเชนี
จึงทูลลาบวชด้วย ครั้นได้เข้าเฝ้าฟังธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต จึงทูลขอบวช ฯ
๘. “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพานๆ
ดังนี้ เพราะละอะไรได้ ?” ปัญหานี้ใครทูลถาม ?
๘. อุทยมาณพเป็นผู้ทูลถาม ฯ
ศาสนพิธี
๙. ในงานมงคลที่ทากันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วย บทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้นๆ
ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ?
๙. เรียกว่า เจ็ดตานาน ฯ
เรียกว่า
ต้นสวดมนต์หรือต้นตานาน และท้ายสวดมนต์ ฯ
๑๐. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์
? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วยเรื่องอะไร ?
๑๐ เรื่องเวสสันดรชาดก
ฯ มี ๑๓ กัณฑ์ ฯ เรื่อง จตุราริยสัจจกถา ฯ
***********
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
อวณฺณญฺจ อกิตฺติญฺจ ทุสฺสีโล ลภเต นโร
วณฺณํ กิตฺตึ ปสํสญฺจ สทา ลถติ สีลวา
คนผู้ทุศีล ย่อมได้รับความติเตียน และความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีล
ย่อมได้รับชื่อเสียงและความยกย่องสรรเสริญทุกเมื่อ
(สีลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๗
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง
? จัดเป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๑. เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
มี เกสา ผม
โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน และ ตโจ หนังฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานฯ
๒. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้นหรือไม่ ? จงอธิบาย
๒. เป็นลักษณะของสังขตธรรมฯ มีลักษณะเช่นนั้น คือ เมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น
ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไปฯ
๓. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร
?
๓. ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกฯ
พระวินับปิฎก
ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นาความประพฤติให้สม่าเสมอกัน หรือเป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก
ว่าด้วยคาสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก
ว่าด้วยคาสอนยกธรรมล้วนๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคล เป็นที่ตั้งฯ
๔. อาสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้
จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะฯ
๕. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด
?
๕. มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมารฯ
๖. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ?
๖. มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่
๑. ชั้นจาตุมหาราชิก
๒. ชั้นดาวดึงส์
๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต
๕. ชั้นนิมมานรดี
๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
๗. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกาแห่งสังสารจักร ถามว่า กา ได้แก่อะไร
? สังสารจักร ได้แก่อะไร ?
๗. กา ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรมฯ สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือ กิเลส
กรรม วิบากฯ
๘. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ?
๘. ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ มี
๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ
๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ
๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ
๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ
๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติฯ
มิจฉาวายามะ
ได้แก่ พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยังกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไปฯ
๙. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรขาดบ้าง
?
๙. คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ
๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
๑๐. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า
“ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
๑๐. ได้แก่ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ
ฯ จัดเข้าในข้อ เอกาสนิกังคะ คือ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
**********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสาคัญอย่างไร
?
๑. มีความสาคัญ คือ พระสงฆ์สาวกจัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน
ถ้าไม่มีพระสาวกสงฆ์เป็นผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติธรรม ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สาเร็จประโยชน์
และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกาลังใหญ่ของพระศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก
๒. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็นปฐมสาวก
เพราะเหตุ ?
๒. เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนและได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น
ฯ
๓. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์และพระยสะต่างกันอย่างไร
? เพราะเหตุไร ?
๓. ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคาว่า เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไม่มีคาว่า
เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๔. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสาคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้นชื่ออะไร และเป็นผู้เลิศในทางใด ?
๔. พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณนมันตานีบุตรเป็นศิษย์เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก
พระอัสสชิ
ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ฯ
๕. ชฏิล ๒ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด
?
อุรุเวลกัสสปะ
ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ
ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็นผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ
จึงทูลขออุปสมบท
ส่วนนทีกัสสปะ
และ คยากัสสปะ เห็นพี่ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขออุปสมบทฯ
๖. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร
?
๖. เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่ไปและทางเป็นที่มา
ควรที่ผู้มีธุระจะควรไปถึง กลางวันไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืนเงียบเสียงที่จะอื้ออึงกึกก้อง
ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการเป็นที่สงัด และควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ
ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดาฯ
ทรงถวายด้วยการหลั่งน้าจากพระเต้าทองฯ
๗. “คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร
ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคาพูดของใคร
? พูดกะใคร ?
๗. ของอุปติสสมานพ ฯ พูดกะโกลิตมาณพฯ
๘. คาถามว่า “ข้าพเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็น”
ใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร
?
๘. พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า
ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเป็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความตามเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด
ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มันจุราชจึงไม่แลเห็นเห็นฯ
ศาสนพิธี
๙. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ?
๙. ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปปกติ
ไม่ว่างานใด ก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้นฯ ส่วน วิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสาหรับอนุโมทนาเป็นบทพิเศษ
เฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่องฯ
๑๐. บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... และบท อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา
... ใช้ต่างกันอย่างไร ?
๑๐. บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
บท อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น ๒ คือเป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต๑
นั้น คืออย่างไร ?
๑. ที่เป็นข้อห้าม คือกิริยาบางอย่างหรือบริขารบางประเภทไม่เหมาะแก่สมณะสารูป
จึงทรงห้ามไม่ให้กระทาหรือใช้บริขารเช่นนั้น เช่นห้ามไม่ให้ไว้ผมยาว ไม่ให้ไว้หนวดเครายาว
ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น
ที่เป็นข้ออนุญาต
คือการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่นทรงอนุญาตวัสสิกสาฎกในฤดูฝน เป็นต้นฯ
๒. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่างพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์
ในกรณีที่ภิกษุถูกโจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย
?
๒. พึงปิดกายด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้
ห้ามมิให้เปลือยกาย ฯ
๓. ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง
?
๓. ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ คือ
๑. โขมะ ผ้าทาด้วยเปลือกไม้
๒. กัปปาสิกะ ผ้าทาด้วยฝ้าย
๓. โกเสยยะ ผ้าทาด้วยใยไหม
๔. กัมพละ ผ้าทาด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕. สาณะ ผ้าทาด้วยเปลือกป่าน
๖. ภังคะ ผ้าที่ทาด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๔. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทาการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร
?
๔. หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ
ผู้ประพฤติ
ดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสมิได้
๓. หาความละอายมิได้
๔. หาความเคารพมิได้
๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
๕. บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทาอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ
๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทาบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ?
๕. บุพพกรณ์ คือ กรณียะอันจะพึงกระทาให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วน บุพพกิจเป็นธุระอันจะพึงทาก่อนแต่สวดปาติโมกข์
ฯ
บุพพกรณ์นั้นเป็นกรณียะจะต้องทา
เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้นไม่ต้องทา เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์
ฯ
๖. ภิกษุจาพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ อยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา
พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๖. อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นการสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ
อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๗. การทานอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ความประพฤติเช่นไร
? รวมเรียกว่าอะไร ?
๗. อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ
ปาปสมาจาร
ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ความเลี้ยงชีพไม่สมควร
ฯ
รวมเรียกว่า
อุปปถกิริยา ฯ
๘. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกกระคนกันมีกาหนดอายุไว้อย่างไร
? จงยกตัวอย่าง
๘. ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลาคอเข้าไป ฯ มีดังนี้ คือ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก
และ ยาวชีวิก ฯ กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จากัดอายุคลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกาหนดอายุไว้
๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ฯ
๙. การแสดงอาบัติ การอธิษฐาน การทาวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทากิจเหล่านี้จากัดคนไว้อย่างไร ?
๙. เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ
จากัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิษฐาน
ให้ทาเอง
การทาวิกัป
จากัดผู้รับ ต้องทากับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง
ฯ
๑๐. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร
? จงชี้แจง
๑๐. เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคลและสถานที่ไม่สมควรไปคืออโคจร
เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจรอันเป็นคุณบทว่า สีลสัมปันโน
ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
*********
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓
กลฺยาณิเมว มุญฺเจยฺย น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ
โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ.
พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจางาม
ยังประโยชน์ให้สาเร็จ คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน.
(พุทฺธ) ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ?
๑. คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯมีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับไปในที่สุด
และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ฯ
๒. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ
มีอธิบายอย่างไร ?
๒. ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจาก ราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ
มีอธิบายว่า
ความพ้นจากกิเลสด้วยอานาจอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป
ไม่กลับเกิดอีก
ฯ
๓. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร
?
๓. มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๔. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ?
๔. ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึงภาวะ อันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น
ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
๕. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะเพราะเหตุไร
?
๕. ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมกอยู่ในสันดาน ฯ
๖. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร
?
๖. ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓.
โมหจริต
๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต
ฯ
พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ
หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๗. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ
?
๗. คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน,
สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ,
ภควา ฯ
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ
๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
๘. พระโสดาบัน แปลว่าอะไร ? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง
?
๘. แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาสได้ขาด
ฯ
๙. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกาหนดเฉพาะกาล
คือข้อใด ? เพราะเหตุใด ฯ
๙. เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ รุกขมูลิกังคะ
และ อัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์ ๒
ข้อนี้ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจาตามพระวินัยนิยม
ฯ
๑๐. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง
?
๑๐. ประกอบด้วย
๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก
๒. ธตา ทรงจาได้
๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา
๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ
๕. ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลาดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร
? บุคคลแรกของแต่ละบริษัทนั้นคือใคร ?
๑. มีลำดับอย่ำงนี้ คือ ภิกษุ อุบำสก อุบำสิกำ และภิกษุณี ฯพระอัญญำโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัทบิดำของพระยสะ
เป็นคนแรกของอุบำสกบริษัทมำรดำและภรรยำของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบำสิกำบริษัทพระนำงปชำบดี
โคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบาเพ็ญทุกรกิริยา
?
๒. เพรำะได้เคยเข้ำร่วมทำนำยพระลักษณะของพระมหำบุรุษโดยเชื่อมั่นว่ำจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ำ
จึงตำมอุปัฏฐำกด้วยหวังว่ำ เมื่อพระมหำบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนำโปรด ฯ
๓. มารยาทดีมีความสารวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น
นี่เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ
๓. ของพระอัสสชิเถระ ฯ
ท่ำนเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์
ได้ฟังพระธรรมเทศนำจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นกำลังในกำรประกำศพระศำสนำ อุปติสสปริพำชกพบเห็นแล้วเกิดควำมเลื่อมใส
ขอฟังธรรมจำกท่ำน แล้วได้เข้ำมำบวชในพระพุทธศำสนำ ฯ
๔. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ
ที่ไหน ?
๔. ได้ฟัง อนุปุพพีกถำ และอริยสัจ ๔ ฯ
ณ ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน
แขวงเมืองพำรำณสี ฯ
๕. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ?
๕. พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพรำะท่ำนรู้จักเอำใจบริษัท รู้จักสงเครำะห์ด้วยอำมิสบ้ำง
ด้วยธรรมบ้ำง ฯ
๖. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้
พระองค์ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด
?
๖. พระมหำกัสสปะ ฯ
เป็นเอตทัคคะในทำงถือธุดงค์
ฯ
๗. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์เมื่อครั้งไหน
? ได้ผลอย่างไร ?
๗. เมื่อครั้งที่ท่ำนบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้ำให้เสด็จไปกรุงอุชเชนี
เพื่อประกำศพระศำสนำตำมพระรำชประสงค์ของพระเจ้ำจัณฑปัชโชต แต่พระพุทธเจ้ำรับสั่งให้ท่ำนไปแทน
ฯ พระเจ้ำจัณฑปัชโชตและชำวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศำสนำ ฯ
๘. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมาย
อย่างไร ?
๘. ด้วยเรื่องสุญญตำนุปัสสนำ ฯ มีควำมหมำยว่ำ ให้พิจำรณำเห็นโลกโดยควำมเป็นของว่ำงเปล่ำ
ถอนควำมเห็นว่ำเป็นตัวตนของเรำเสีย ฯ
ศาสนพิธี
๙. คาว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทาบุญฉลองอัฐิจัดเข้าในอย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ?
๙. เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงำนมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงำนอวมงคล ฯ
จัดเข้ำในกำรเจริญพระพุทธมนต์
แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสำยสิญจน์ ฯ
๑๐. งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ?
๑๐. คืองำนทำบุญที่คณะญำติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหำยป่วยและเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกำสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลำยแห่งชีวิตของตน
หรือเป็นควำมประสงค์ของผู้จะทำบุญต่ออำยุเองเพื่อควำมเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา กับ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ?
๑. ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
อันได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์
เป็นข้อบังคับโดยตรงทีภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา
ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติหรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์
เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรประพฤติ ฯ
๒. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทาวินัยกรรมนั้น
มีจากัดบุคคลและสถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ?
๒. ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทาตามพระวินัย เช่น พินทุ
อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม กรรมที่ภิกษุ ครบองค์เป็นสงฆ์ มีจานวนอย่างต่าตั้งแต่
๔ รูปขึ้นไปจะพึงทา เช่น อปโลกนกรรมเป็นต้น เรียกว่าสังฆกรรม ฯ
จากัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒. อธิษฐาน ต้องทาเอง
๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานาสามเณร สามเณรี
รูปใดรูปหนึ่ง
๔. ห้ามไม่ให้ทาในที่มืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ
๓. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง
? คาขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ?
๓. มี ๔ ประเภท ฯ
คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ
ว่า อาจริโย
เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
๔. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทาให้
ถูกต้องตามกาลเทศะ
ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ
๔. ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ทาอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่แลไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับหรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือ
ส่งใจไปอื่น
แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
๕. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร
?
๕. ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓ รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ
ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ
พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูป พึงอธิษฐาน
ฯ
๖. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจารปาปสมาจาร
อเนสนา ?
๖. คือ การทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจารความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร ความเลี้ยงชีพไม่สมควรจัดเข้าในอเนสนา
ฯ
๗. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าโคจรสัมปันโนผู้ถึงพร้อมด้วยโคจรเพราะปฏิบัติอย่างไร
?
๗. เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็นกิจลักษณะในเวลาอันควร
ไม่ไปพร่าเพรื่อ กลับในเวลาประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อนสหธรรมิกเพราะการไปเที่ยว
ฯ
๘. ยาวกาลิกกับยาวชีวิกได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฎเกณฑ์กาหนดอายุไว้อย่างไร
? จงยกตัวอย่าง
๘. ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ยาวชีวิกได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป
ไม่มีจากัดกาล ฯ
กฎเกณฑ์กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด
ฯ เช่นยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์
ฯ
๙. คาว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?
๙. อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน ฯ
อันโตปักกะ
หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน)
ฯ
สามปักกะ
หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง ฯ
๑๐. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉันได้
?
๑๐. ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือมูตร คูถเถ้า
และดินได้ ฯ
*********
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
อคฺคสฺมึ ทานํททตํ อคฺคํปุญฺญํปวฑฺฒติ
อคฺคํอายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํพลํ.
เมื่อให้ทานในวัตถุอันเลิศ บุญอันเลิศ อายุวรรณะยศเกียรติสุขและ
กาลังอันเลิศ ก็เจริญ.
(พุทฺธ) ขุ. อิติ. ๒๕/๒๙๙
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
๑. คือศึกษา ในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปฯ
ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น ฯ
๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
๒. มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น
ฯ
๓. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร
? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
๓. อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม ครั้นทากรรมแล้ว ย่อมได้รับ วิบากแห่งกรรม
เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
๔. เมตตากับปรานีมีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? และอย่างไหน กาจัดวิตกอะไร ?
๔. เมตตาหมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานีหมายถึงความปรารถนาให้ ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา
ฯ เมตตากาจัดพยาบาทวิตก ปรานีกาจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๕. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ?
๕. คือ ของทาบุญ ฯ ทักขิณาจะบริสุทธิ์ มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์
มีทุศีลมีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ
๖. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺม นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๖. มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ
ได้ชื่อว่าดีเพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลาดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น
ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น
ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๗. พระพุทธคุณว่า อรห ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคาอะไรมาประกอบร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท ของพระศาสดาหรือของพระสาวก
?
๗. ได้ ฯ สาหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง
สาหรับพระสาวกใช้ว่า อรห ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
๘. คาว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู
๘. ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น
คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค
พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ
๙. พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คาว่า สังขารหมายถึงอะไร
? ได้แก่อะไรบ้าง ?
๙. หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่
๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา
๑๐. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล
หรืออกุศล ?
๑๐. คือ กรรมหนัก ฯ อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล
ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้อง
ปฏิบัติอย่างไร ?
๑. จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่าง
งมงาย จนเป็นเหตุทาตนให้ลาบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อัน ขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย
ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทาตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๒. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ
?
๒. เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทากิจแก่กัน
เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎฯ
๓. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง
?
๓. แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์
๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร
? มีอะไรบ้าง ?
๔. วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ
ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๕. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทาแก่ผู้ใหญ่แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง
?
๕. คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และ บุคคล ฯ ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสานักของผู้ใหญ่
ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวในบ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
๖. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจาปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จาได้
แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน
ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
๖. สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุ ฉุกเฉินนั้น
ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจาได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าในเหตุฉุกเฉิน
๑๐ ประการ ฯ
๗. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร
?
๗. คือ อาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ
ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับ อาบัติของกัน ให้แสดงในสานักภิกษุอื่น
ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมดต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสานักของภิกษุนั้นฯ
๘. ภิกษุได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส กับภิกษุ ผู้ได้รับการตาหนิว่า
กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายตระกูล เพราะมี ความประพฤติเช่นไร ?
๘. ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก เพราะถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว
ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขาเลื่อมใสนับถือตน ส่วนภิกษุผู้ได้รับการตาหนิว่า
กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล เพราะประพฤติ ให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์
ให้ของ กานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทากัน ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการ เอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ฯ
๙. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐาน
ด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
๙. ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่นผ้ากรองน้าถุงบาตร ย่าม ฯ
การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทาความผูกใจตามคาอธิษฐานนั้นๆ
ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือ การเปล่งคาอธิษฐานนั้นๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๑๐. ผ้าต่อไปนี้ คือ สังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้าฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร
ผืนใดที่ทรงอนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ?
๑๐. สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้าฝน ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑. พระอัญญาโกณฑัญญะสาเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว กี่วัน
? สาเร็จเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๑. ๕ วัน ฯ ชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ
๒. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนิว่า โตเพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะบวชนาน ?
๒. ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัด อาจทาให้สาเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนาผู้อื่น
เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจ ผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
๓. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร
?
๓. แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนา ศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย
พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม
และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ
๔. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบ
สัก ๑ เรื่อง เพื่อยืนยันคากล่าวนี้
๔. (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง)
เรื่องที่
๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ใน ทิศใด ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
ฯ
เรื่องที่
๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตาม ปรารถนา พระศาสดาทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
มีใคร ระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง, พระสารี
บุตรทูลว่า
ราธพราหมณ์ เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญู ดีนัก
อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจาได้ ฯ
๕. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ ถูกต้องเป็นอย่างไร
?
๕. ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ที่ไม่เที่ยงดับไป
ฯ
๖. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็น
อารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ?
๖. ๘ วัน ฯ สงเคราะห์เข้าใน กายคตาสติ และ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ
๗. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตรนั้นชื่ออะไร
?
๗. พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี
ฯ สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ
๘. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟังพุทธพยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ?
๘. พราหมณ์พาวรี ฯ ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ฯ ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ
ศาสนพิธี
๙. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้
?
๙. คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจาพรรษา ในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส
โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้า เปิดโลก ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์
จนเป็นประเพณีทาบุญ ตักบาตรที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ
นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
๑๐. เมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ
*********
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส โถกํโถกํปิ อาจินํ.
แม้หม้อน้ำยังเต็มม้้ยยัหยัำ้น้ำฉังนด้ คนตขลำสง่เสมบำป แม้ทีละน้อยั
ๆ
กมต็มม้้ยยับำปฉังนนง้น.
(พุทฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๓๑.
----------------
แ็่เอธิบำยัตปมนทำนอเตทศนำโยหำร อ้ำเสุภำษิ็อื่นมำประกอบไม่น้อยักย่ำ
๒ ข้อ และบอกชื่อคงมภีร์ที่มำแห่เสุภำษิ็นง้น้้ยยั ห้ำมอ้ำเสุภำษิ็ซ้ำข้อกงน แ็่จะซ้ำคงมภีร์ไ้้
ไม่ห้ำม สุภำษิ็ที่อ้ำเมำนง้น ็้อเตรียัเตชื่อมคยำมดห้สนิท็ิ้็่อสมตรื่อเกงบกระทู้็ง้เ.
ชง้นนี้ กำหน้ดห้ตขียันลเดนดบ็อบ ็ง้เแ็่ ๓ หน้ำ (ตย้นบรรทง้) ขึ้นไป
----------------
ดห้ตยลำ ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
๑. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่าเกสาโลมานขาทนฺตาตโจ ตโจ
ทนฺตานขาโลมาเกสานั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน
?
๑. ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือ มูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ฯ
๒. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ
?
๒. ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือ คุณธรรมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง
เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่าอริยปริเยสนา แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเล่น
เป็นการแสวงหา ไม่ประเสริฐ เรียกว่าอนริยปริเยสนา ฯ
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทางาน ต่างกันอย่างไร
?
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทาด้วยมุ่งให้สมภาวะ ของตน ผู้ทามุ่งผลอันจะได้แก่ตน
หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ ทาด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร
เห็นว่าถูกก็ทา หรือทาด้วยอานาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ
๔. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกาหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจที่ควรกาหนดรู้ ได้กาหนดรู้แล้ว จัดเป็น
กตญาณ ฯ
๕. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่
๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของ อย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๕. มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย
ถ้อยคาเสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ
๖. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ?
๖. คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ มี ๔ อย่าง ฯ ข้อที่ ๔ ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล
ฯ
๗. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ?
๗. เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทาความลาบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี
ฯ
๘. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ?
๘. สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ
พอเป็นรากฐานแห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ
๙. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร
?
๙. มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคานับ ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ
๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทาบุญ ๘. อญฺชลิกรณีโย
เป็นผู้ควรทาอัญชลี [ประณมมือไหว้] ๙.
อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ฯ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ
คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
๑๐. กรรมที่บุคคลทาไว้ ทาหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
๑๐. ทาหน้าที่ คือ ๑. แต่ง (วิบาก)
ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม ๒. สนับสนุน
(วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓.
บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
๑. ภิกษุแม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติ ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหนบ้าง
?
๑. ได้แก่ ภิกษุบ้าคลั่งจนไม่มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุเพ้อจนไม่รู้สึกตัว ภิกษุกระสับกระส่าย
เพราะมีเวทนากล้าจนถึงไม่มีสติ ฯ
๒. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือ การสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และ อัพภาณกรรม มีจากัดจานวนสงฆ์อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตาม
พระวินัย ?
๒. การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ
ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค
คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย
ฯ
๓. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย
๓. อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่าผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล
สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่าผู้อยู่ด้วย นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง
ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะ
นั้นอย่างไร ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้
๑. ไม่ทาให้เปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉัันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านาไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. คาว่าวัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาสเป็น
อาบัติอะไร ?
๕. คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส
ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกาหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด
ฯ
๖. ภิกษุอยู่จาพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณาย่อมได้อานิสงส์แห่ง การจาพรรษาอะไรบ้าง
?
๖. ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉัันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน
และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ
๗. ปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจาพรรษา๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร
?
๗. มี ๓ อย่าง ฯ คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงทาคณปวารณา ฯ
๘. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสาคัญ
ฯ
๘. คือ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่
๑ รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ เห็นว่าข้อสุดท้ายสาคัญ ฯ
๙. ภิกษุได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร
?
๙. เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากอโคจร
คือบุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ
๑๐. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ?
๑๐. เนยใส เนยข้น น้ามัน น้าผึ้ง น้าอ้อย ฯ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
๑. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับ อนุตตริยะอะไรบ้าง
?
๑. ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ ได้ทรงสดับธรรม
เป็นสวนานุตตริยะ ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ
๒. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ และพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน
? เพราะเหตุไร ?
๒. เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด
ธรรม อันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ
มีพระพุทธดารัสต่อท้ายว่า “เพื่อทาที่สุด ทุกข์โดยชอบ”
เพราะท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์ ส่วนพระยสะ ไม่มีคาว่า “เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุ พระอรหัตต์แล้ว
ฯ
๓. พระอัญญาโกณฑัญญะ กับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนาโดย มีมูลเหตุความเป็นมาต่างกันอย่างไร
?
๓. ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน
มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้ว จึงขอบวช ฯ พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้
หลงถือตนว่า เป็นผู้วิเศษ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึง ลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช
ฯ
๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟัง
พระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๔. พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
๕. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา
๒. บวชเพราะจาใจ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป
ฯ
๕. ๑. บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล ๒. บวชเพราะจาใจ คือ พระนันทะ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป คือ
พระวักกลิ ฯ
๖. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วย วิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่
? ถ้ามี คือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ?
๖. มี ฯ คือ พระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ พระนางมหาปชาบดีโคตมี
อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๗. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา” นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร
?
๗. เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา
อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
๘. ข้อธรรมว่า“โลกคือหมู่สัตว์อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน”
เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ?
๘. เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
ศาสนพิธี
๙. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวาย
คนแรก ?
๙. มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลาย
จึงเปลือยกายอาบน้า นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ
จึงทูลขอพระพุทธานุญาต เพื่อถวาย ผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
๑๐. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู
๑๐. นจฺจ คีต วาทิต วิสูก ทสฺสนา มาลา คนฺธ วิเลปน ธารณ มณฺฑน วิภูสนฏฺฐานา เวรมณี
สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ
********
กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
มธุวา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ,
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ.
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน,
แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.
(พุทฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๒๔.
----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า
๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ?
๑. มี
๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ
๒. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้
?
๒. มี
๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท
๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ
สงเคราะห์เข้าในข้อ
สัมมาสังกัปปะ ฯ
๓. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ?
๓. ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร
ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร
ฯ
๔. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทยสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัยเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดจริง จัดเป็นสัจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ควรละ จัดเป็นกิจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๕. ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คาว่า มาร หมายถึงอะไร
? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ?
๕. หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้
ทาความดี
จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอานาจของกิเลสแล้ว
ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทาให้
เสียคนบ้าง
ฯ
๖. คาว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว”
หมายถึงอะไร ?
๖. หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่
สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับปริยัติธรรม ๑) ฯ
๗. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด
?
๗. ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง
บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายทายก
ทักขิณาบางอย่าง
ไม่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง
บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
อย่างที่
๔ คือ ทักขิณาที่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
๘. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร
?
๘. หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ
เพราะกิเลสชนิดนี้
บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้น
ในทันใด ฯ
๙. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง
?
๙. พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และ ปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ ๓
คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ
๙ คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน,
สุคโต,โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ,
ภควา ฯ
๑๐. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร
?
๑๐. คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เปน็ อุบายขัดเกลากิเลส และเปน็ ไปเพื่อความ
มักน้อยสันโดษ
ฯ
มี ๔ หมวด
ฯ ดังนี้
หมวดที่ ๑
ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่ ๒
ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่ ๓
ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่ ๔
ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? เป็นเหตุให้ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง
?
๑. คือ ขนบธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ
ฯ
๒. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๒. มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก
หมวก ผ้านุ่งผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ
ฯ
๓. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ? ที่จัดเป็นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมีอะไรบ้าง
?
๓. มี ไตรจีวร คือผ้านุ่งผ้าห่มและผ้าทาบ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน
และผ้ากรองน้า
ฯ
ไตรจีวร บาตร
ประคดเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภคเข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้า จัดเป็นบริขารอุปโภค
ฯ
๔. คาว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร
?
๔. หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้
ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพานักอาศัยท่าน ฯ
ต้องถือนิสัยเสมอไป
แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้เป็นไข้
ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว
และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้
จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้
ฯ
๕. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ที่ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕. ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ
เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น
จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้าก็จะหก เสียมารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน
ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ฯ
๖. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง
ในแต่ละอย่างกาหนดวันไว้อย่างไร ?
๖. วันเข้าพรรษาต้น กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง
คือวันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น
ล่วงแล้วเดือน
๑ คือ วันแรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ
๗. ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร
?
๗. มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์
มีภิกษุ ๓
รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
มีภิกษุ ๒
รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
มีภิกษุ ๑
รูป พึงอธิษฐานหรือมีภิกษุต่ากว่า ๔ รูปจะไปทาสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่นก็ควร ฯ
๘. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส
เพราะมีความประพฤติต่างกันอย่างไร ?
๘. ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส
ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทา ยอมตนให้เขาใช้สอย
หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส
เป็นผู้ถึง พร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกลุ โดยฐานเป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา
แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขา
เลื่อมใสนับถือตน
ฯ
๙. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร
?
๙. ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผู้อ่อนพรรษากว่าว่า
อาวุโส ฯ
๑๐. อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร
?
๑๐. ได้แก่โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ
มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา
ฯ
*********
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสาคัญอย่างไร ?
๑. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ
๓ เป็นพยานยืนยันความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นกาลังใหญ่ของพระพุทธเจ้าในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ
๒. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ?
๒. เพราะเปน็ พระสตูรที่เหมาะแกบุ่รพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง
ฯ
๓. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที?จงแสดงตัวอย่างมาสัก๒ เรื่อง
๓. พระสารีบุตรเถระ ฯ
เรื่องที่
๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
เรื่องที่
๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
๔. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ?
๔. บวชเพราะเบื่อหน่าย คือ พระยสะ พระมหากัสสปะ ฯ บวชเพราะเพื่อน คือ พระภัททิยศากยะ
พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และเพื่อนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ
(ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้
และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้)
๕. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่ใคร
? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ?
๕. การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะการรับครุธรรม ๘ ข้อ
ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ฯ
พระมหากัสสปะได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงคคุณ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ
๖. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แทนพระองค์
ณ เมืองใด และได้ผลเป็นอย่างไร ?
๖. ณ เมืองอุชเชนี ฯ
ได้รับผล
คือ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๗. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม
? และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
๗. อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ทรงพยากรณ์ว่า
โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
๘. การทาสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ?
๘. ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้
กาจัดและป้องกันอลัชชีได้
ทาความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูกต้องและปฏิบัติถูกต้องได้ และทาให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น
ฯ
ศาสนพิธี
๙. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง
?
๙. ๓ ประเภท ฯ คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
๑๐. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ฯ
๑๐. การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓
เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้นเว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ
ฯ
การออกพรรษา
หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกาหนดอยู่จาพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ
เรียกโดยภาษา พระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทาปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา
๓ เดือน ฯ
*********
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน.
ผูใ้ ดมีปัญญาทราม มีใจไม่มัน่ คง พึงเป็นอยู่ตงั้ รอ้ ยปี, ส่วนผูมี้ปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียง
วันเดียว ดีกว่า.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๒๙.
-------------------
แต่งอธบิ ายเป็นทา นองเทศนาโวหาร อา้ งสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า
๒ ขอ้ และบอกชื่อคัมภีร์
ที่มาแห่งสุภาษิตนนั้ ดว้ ย หา้ มอา้ งสุภาษิตซ้า ขอ้ กัน แต่จะซ้า คัมภีร์ได้
ไม่หา้ ม สุภาษิตที่อา้ งมานนั้ ตอ้ งเรียง
เชื่อมความใหส้ นิทติดต่อสมเรื่องกับกระทูต้ งั้ .
ชนั้ นี้ กา หนดใหเ้ขียนลงในใบตอบ ตงั้ แต่ ๓ หน้า (เวน้ บรรทัด) ขึ้นไป
-------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาวิชาธรรม นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบา้ ง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร
?
เป็นอารมณ์ของสมถกัมมฏั
ฐานหรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๒. สังขตธรรม และ อสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ตน้
ไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม
เพราะมีลกั
ษณะอย่างไร ?
๓. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร
?
๔. กิเลส กรรม วิบาก ไดชื้่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดใหข้
าดไดด้ ว้ ยอะไร ?
๕. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ?
๖. ความรูสึ้กเฉยๆ ทางกาย กับความรูสึ้กเฉยๆ ทางใจ จัดเขา้ ในเวทนา ๕ อย่างไร
?
๗. กิเลส ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?
๘. การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ?
๙. ผูบ้ ริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี
?
๑๐. บุคคลผูไ้ ดรั้บการยกย่องว่าเป็นพหุสุต เพราะประกอบดว้ ยคุณสมบัติอะไรบา้ ง
?
ให้เวลา ๓ ชัว่ โมง
ปัญหาวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
๑. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครงั้ แรก มีจา นวนเท่าไร
?
ประกอบดว้
ยใครบา้ ง ?
๒. พระอัสสชิไดแ้ สดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
๓. อุบาสกผูป้ ระกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร
?
๔. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ไดบ้ รรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร
?
๕. การที่เจา้ ศากยะทูลขอใหพ้ ระอุบาลีผูเ้ป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร
?
๖. ภิกษุ ภิกษุณี ผูเ้อตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ?
๗. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปแก่
พระโสณโกฬิวิสะว่าอย่างไร ?
๘. มาณพทงั้ ๑๖ คนผูทู้ลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ?
ท่านตงั้
สา นักอยู่ที่ไหน ?
ศาสนพิธี
๙. จงเขียนคาถาที่ใชใ้ นการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู
๑๐. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตใหมี้ในวันใดบา้ ง
?
ปัญหาวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
๑. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๒. การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ?
๓. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทากิจแก่กัน เช่นไหว้
รับไหว้
ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ.
เปลือยในน้า
๔. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง
?
๕. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์
ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ
๖. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร
?
๗. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง
๘. กาลิก ๔ ได้แก่อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร
?
๙. ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง ?
๑๐. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลาดับอย่างไรบ้าง ?
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
สาธุ + ขอบคุณ + many thanks: ควานหาข้อมูลด้วยความยากลำบาก เป็นpdf file บ้าง ไม่ครบบ้าง, แต่ที่นี่ครบเลยครับ,
ตอบลบขออนุโมทนา สาธุ ที่นำมาเผยแพร่
ตอบลบแก้ไขสระ อำ ด้วยนะครับ งงเหมือนกัน จากสระ อา เป็น สระ อำ
ตอบลบขออนุโมทนาด้วยครับ...
ตอบลบเป็นประโยชน์มากครับ...
อนุโมทนา สาธุค่ะ
ตอบลบมีประโยชน์กับผู้ไม่มีโอกาสเรียนเต็มที่อาจเป็นอานิสงน์ให้พวกเขาได้มีโอกาสศึกษาในชั้นสูงต่อไป/สาธุ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุเจ้าค่ะ
ตอบลบคับควย
ตอบลบควย
ตอบลบปาบหนานะเราาอะ555
ลบปัญหาและเฉลย นักธรรมชั้นเอก ปี 57
ตอบลบ