สรุปนักธรรมโท
วิชาธรรม
ว่าด้วยเรื่องมาร
๑.มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?
ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น
บุคคลย่อมหมด โอกาสที่จะทาประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ
๒.มาร
คืออะไร
? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ?
คือ สิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม
ปิดกั้นไม่ให้ทา ความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง
หมายถึง
อกุศลกรรม ฯ
๓.มาร
มีอะไรบ้าง
? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ?
มีดังนี้
๑.
ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมารฯ
๔.ปัญจขันธ์
ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ?
เพราะปัญจขันธ์นั้น
บางทีทาความลาบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
๕.ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มากอยากทราบว่า
คาว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร
หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี
ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ ทาความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง
ฯ เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอานาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทาให้ เสียคนบ้าง
ฯ
ว่าด้วยเรื่องธุดง
๑.คาว่า “วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง
ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้น ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ
ฯ
มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้
ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม
ฯ
๒.ธุดงค์
คืออะไร ? ข้อใดของปัจจัย ๔ ไม่มีในธุดงค์ ?
คือ
วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง บัญญัติขึ้นด้วยหมายจะให้เป็นอุบาย ขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ
ฯ
ข้อ
ยารักษาโรค ฯ
๓.ธุดงค์
ได้แก่อะไร
? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า
“ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
ได้แก่
วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
จัดเข้าในข้อ เอกาสนิกังคะ คือ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
๔.ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกาหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะเหตุใด
ฯ
เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ
รุกขมูลิกังคะ และ อัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์
๒ ข้อนี้ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจาตามพระวินัยนิยม
ฯ
๕.ธุดงค์
คืออะไร
? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร
?
คือ
วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เปน็ อุบายขัดเกลากิเลส และเปน็ ไปเพื่อความ มักน้อยสันโดษ
ฯ
มี
๔ หมวด ฯ ดังนี้
หมวดที่
๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่
๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่
๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่
๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
ว่าด้วยเรื่องพระอริยบุคคล
๔
๑.พระอริยบุคคล
๔ ได้แก่ใครบ้าง
? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?
ได้แก่
พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้
๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๒.คาว่า
พระโสดาบัน และ สัตตักขัตตุปรมะ มีอธิบายอย่างไร ?
พระโสดาบัน
คือพระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุอริยผลขั้นแรก ฯ
สัตตักขัตตุปรมะ
คือพระโสดาบันผู้จะเกิดอีก ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ฯ
๓.สังโยชน์
คืออะไร
? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรขาดบ้าง ?
คือ
กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ
๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
๔.พระโสดาบัน
แปลว่าอะไร
? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ?
๔.แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน
ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ขาด ฯ
๕.พระพุทธคุณว่า
อรห ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคาอะไรมาประกอบร่วมด้วย
เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท ของพระศาสดาหรือของพระสาวก ?
ได้
ฯ สาหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สาหรับพระสาวกใช้ว่า
อรห ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
ว่าด้วยเรื่องกรรม
๑.พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า
เป็นผู้หักกาแห่งสังสารจักร ถามว่า กา ได้แก่อะไร ? สังสารจักร ได้แก่อะไร ?
กา
ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรมฯ สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบากฯ
๒.
กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง
จงอธิบาย ?
กรรม
คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว
และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น
แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น
และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ ฯ
๓.กิเลส
กรรม วิบาก เรียกว่าวัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จงอธิบาย
เพราะวน
คือหมุนเวียนกันไป ฯ อธิบายว่า กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม ครั้นทากรรมแล้ว ย่อมได้รับวิบากแห่งกรรม
เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
๔.กรรมที่บุคคลทาไว้
ทาหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
ทาหน้าที่
คือ ๑.
แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า
ชนกกรรม ๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น)
เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า
อุปฆาตกกรรม ฯ
ว่าด้วยเรื่องญาณ
๑.ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ
๔ มีอะไรบ้าง
? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
๓. มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๒.ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร
?
๔. มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกาหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจที่ควรกาหนดรู้ ได้กาหนดรู้แล้ว จัดเป็น
กตญาณ ฯ
๓.ญาณ
๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทยสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัยเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดจริง จัดเป็นสัจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ควรละ จัดเป็นกิจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๔.ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ? จงอธิบาย
ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ
ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเพ่ง กาหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน
เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง
เสื่อมสลายไปในที่สุด
หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา
ฯ
๕.มหาภูตรูป
คือ อะไร
? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?
คือ
รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ลม ฯ
เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป
เมื่อรูปใหญ่แตกทาลายไป อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทาลายไปด้วย
๖.ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ
กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม
ครั้นทากรรมแล้ว ย่อมได้รับ วิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้
ฯ ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
ว่าด้วยเรื่องเสขะ
๑.ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
๑. คือศึกษา
ในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปฯ
ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น ฯ
ว่าด้วยเรื่องรูป
๑.มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
๒. มหาภูตรูป
คือ รูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น
ฯ
๒.พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา
คือทรงประพฤติอย่างไร ?
ทรงทาหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้
บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น
และทรงบัญญัติสิกขาบท
อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ
๓.สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ?
๖. มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่
๑. ชั้นจาตุมหาราชิก
๒. ชั้นดาวดึงส์
๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต
๕. ชั้นนิมมานรดี
๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี
ฯ
๔.ปิฎก
๓ ได้แก่อะไร
? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ได้แก่
พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกฯ
พระวินับปิฎก
ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นาความประพฤติให้สม่าเสมอกัน หรือเป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก
ว่าด้วยคาสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคาสอนยกธรรมล้วนๆ
ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคล เป็นที่ตั้งฯ
๕. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ?
ภพ
หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึงภาวะ อันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น
ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
๖.เมตตากับปรานีมีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? และอย่างไหน กาจัดวิตกอะไร ?
เมตตาหมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี
ปรานีหมายถึงความปรารถนาให้ ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตากาจัดพยาบาทวิตก
ปรานีกาจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๗.กาม
ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะเพราะเหตุไร ?
ได้ชื่อว่าโอฆะ
เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมกอยู่ในสันดาน ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น