วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รวมเก็งข้อสอบนักธรรมโท และข้อสอบเก่าของนักธรรมโทตั้งแต่ปี ๕๗ - ๔๘

 เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
ตอบ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึงต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป และ ผู้กาลังสอบธรรมอยู่นี้ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น.
. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
ตอบ มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ ได้แก่ ธาตุ๔ มีปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ และ อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น
. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ณาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มี
. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว
มีอธิบายอย่างนี้คือ
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจญาณ
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้งๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ
. อาสวขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไรบ้าง ?
ตอบ อสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างนี้ คือ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?
ตอบ ได้ชื่อว่า โอฆะะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์
ได้ชื่อว่า โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่า อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน 2
๖. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ?
ตอบ จริต ๖ มี ๑. ราคจริต ๒. โทสะจรติ ๓. โมหจริต ๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต
คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิน หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน
๗. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ?
ตอบ พระพุทธคุณ ๙ บท คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโรปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ, ภควา.
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ และ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ.
๘. คาว่า พระสงฆ์ ในบทสัฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู
ตอบ ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จาพวก ซึ่งล้วนแต่ท่านที่ตั้งอยู่ในมรรคผลทั้งสิ้น คือ
พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑
พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑
พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑
พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑
๙. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ?
ตอบ สังโยชน์ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ และพระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ อย่างเบื้องต้นได้ขาด คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส
๑๐. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ที่เรียกกันทั่วไปว่า ฉันเอกาจัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
ตอบ ธุดงค์ ได้แก่ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลสและเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ส่วนการฉันมือเดียวจัดเข้าใน เอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร.


เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๒ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ?
ตอบ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา และที่ชื่อพระอเสขะเพราะเสร็จกิจอันจะต้องทาแล้ว.
๒. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จงอธิบาย ?
ตอบ ความเห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น
ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง มติทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้งโดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย.
๓. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ?
ตอบ ปาพจน์ได้แก่ พระธรรม และ พระวินัย และถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑
๔. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้น เพราะเหตุไร ?
ตอบ พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ว่ามีลักษณะเหมือนไฟ เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ
๕. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย ?
ตอบ กรรม คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม
อภิชฌา คือความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ.
๖. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ วิโมกข์ คือ ความพ้นจากกิเลส มี ๓ อย่าง คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์
๗. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?
ตอบ พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
๘. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดาและสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ?
ตอบ โยนิ คือ กาเนิด มี ๔ อย่าง คือ
๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์
๒. อัณฑชะ เกิดในไข่
๓. สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล
๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น
เทวดาและสัตว์นรกจัดอยู่ใน โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นเอง
๙. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ?
ตอบ เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา และจัดกลุ่มเทียบได้ดังนี้
ในเวทนา ๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา ๓ เฉยๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง.
๑๐. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ อุปัตถัมภกกรรม ทาหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
ส่วนอุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม


เก็งข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. อนุพุทธบุคคลคือบุคคลพวกไหน ? ได้ชื่อว่าอย่างนั้นเพราะเหตุไ ?
ตอบ อนุพุทธบุคคล คือบุคคลผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า.
๒. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสาคัญอย่างไร ?
ตอบ พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธ มีความสาคัญ คือ พระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ถ้าไม่มีพระสาวกสงฆ์เป็นผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สาเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกาลังใหญ่ของพระศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก.
๓. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบาเพ็ญทุกรกิริยา ?
ตอบ พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจ เพราะได้เคยร่วมทานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษโดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด.
๔. ภิกษุผู้รู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวชนาน ?
ตอบ ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัดอาจทาให้สาเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนาผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ
๕. พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นครั้งแรก ? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ?
ตอบ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก และอนุปุพพีกถานั้นกล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกจากไปจากกาม.
๖. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหันต ? พระโอวาทข้อว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์สงเคาระห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ?
ตอบ พระมหากัสสปะอุปสมบทแล้วนานถึง ๘ วันถึงบรรลุพระอรหันต์ และพระโอวาทที่ว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าใน กายคตาสติ และ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น
๗. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน? พระสูตรนั้นชื่ออะไร ?
ตอบ พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่าคือ พระมหากัจจายนะ แสดงแก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร             แสดงที่คุนธาวัน แขวงเมืองธุรราชธานี        พระสูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร
๘. คาถาว่า ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็นใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ?
ตอบ พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความตามเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็น.


เก็งข้อสอบในศาสนพิธี นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
ตอบ วันเทโวโรหณะ คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจาพรรษาในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ เนื่องด้วยวันนั้นมีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น จนเป็นประเพณีทาบุญตักบาตรที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้.
๒. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ?
ตอบ บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดยเฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทาเมื่อป่วยหนัก เป็นการกาหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง
คาถาที่ใช้บังสุกุลว่า อจิร วตย กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ, ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถ ว กลิงฺคร .
๓. คาว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทาบุญฉลองอัฐิจัดเข้าในอย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ?
ตอบ เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล และสวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล
การทาบุญฉลองอัฏฐิจัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขั้นน้ามนต์และสายสิญจน์.
๔. งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ?
ตอบ งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญที่คณะญาติของผู้กาลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วย และให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสบาเพ็ญกุศลในบั้นปลายชีวิตของตน หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทาบุญต่ออายุตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
๕. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนาคืออนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ ไม่ว่างานใดก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้น ส่วนวิเสสอนุโมทนาด้วยบทสวดมนต์สาหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง.
๖. เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องเวสสันดรชาดก มี ๑๓ กัณฑ์ เรื่อง จตุราริยสัจจกถา
๗. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? แตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้ ๓ ประเภท คือ สังฆอุโบสถ ปาริสุทธิอุโบสถ อธิษฐานอุโบสถ มีความแตกต่างกันดังนี้.
๑. สังฆอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปประชุมสวดพระปาฏิโมกข์
๒. ปาริสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป ร่วมกันทาเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน
๓. อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทาเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง.
๘. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ ศาสนพิธีคือ พิธีทางศาสนา การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจมีประโยชน์ คือ
ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี
๙. การทาวัตร คืออะไร ? ทาวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ?
ตอบ การทาวัตร คือ การทากิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทากิจที่ต้องทาประจาจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า ทาวัตร
ความมุ่งหมายของการทาวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทา เมื่อทาประจาวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง.
๑๐. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุมิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป.


เก็งข้อสอบในศาสนพิธี นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๒ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ ศาสนพิธี คือ พิธีทางศาสนา
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์ คือ
๑. ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี
๒. การทาวัตร และ การสวดมนต์ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ การทาวัตร และ การสวดมนต์ ต่างกันอย่างนี้ คือ
การทาวัตร คือการทากิจวัตรที่ต้องทาประจา วันละ ๒ เวลา คือ เช้า-เย็น จนเป็นวัตรปฏิบัติ มีการสวดบูชาพระรัตนตรัย และสวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคเป็นต้น
การสวดมนต์ คือ การสวดพระพุทธมนต์ต่างๆ นอกเหนือจากบทสวดทาวัตร ที่เป็นส่วนพระสูตรก็มี ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยมกาหนดให้นามาสวดประกอบในการสวดมนต์ก็มี.
๓. กุศลพิธี และบุญพิธี คือพิธีเช่นไร ?
ตอบ กุศลพิธี และ บุญพิธี คือพิธีดังต่อไปนี้
กุศลพิธี คือพิธีกรรมต่างๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนาเฉพาะตัวบุคล เช่น พิธีรักษาอุโบสถศีล เป็นต้น บุญพิธี คือพิธีการบุญงานมงคลและงานอวมงคล.
๔. วันเทโวโรหณะ คือ วันอะไร ? มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันอะไร ?
ตอบ วันเทโวโรหณะ คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จลงจากเทวโลก
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก
๕. ผ้าป่า และ ผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การทอดผ้าป่ากาหนดกาลเวลาทอดไว้หรือไม่ ?
ตอบ ผ้าป่า และผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นนี้
ผ้าป่า หมายถึงผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง ตามป่าช้าบ้าง ตามถนนหนทางและห้อยย้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง
ผ้าอัจเจกจีวร หมายถึงผ้าจานาพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกาหนดกาล คือถวายก่อนออกพรรษาเป็นต้นฯ ส่วนการทอดผ้าป่านั้น ไม่มีกาหนดกาลเวลา มีศรัทธาเมื่อไร่ก็ถวายได้.
๖. มูลเหตุการณ์ถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ?
ตอบ มูลเหตุการณ์ถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น ดังนี้
การถวายผ้าวัสสิกสาฎก มีมูลมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือกกายอาบน้า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอพระพุทธานุญาตเพื่อถวายผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ถวายคนแรก ก็คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา
๗. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
ตอบ นิยมใช้สวดเมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฏี เป็นต้น
๘. บท อทาสิ เม อกาสิ เม.... และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา... ใช้ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้คือ
อทาสิ เม อกาสิ เม ... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ
๙. ในงานมงคลที่ทากันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วย บทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้นๆ ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก เรียกว่าอะไร ?
ตอบ เรียกว่า เจ็ดตานานฯ
และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีกเรียกว่า ต้นสวดมนต์หรือต้นตานาน และท้ายสวดมนต์.
๑๐. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้
ก. ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภัตต์ ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอัจเจกจีวร
ตอบ มีความหมายดังต่อไปนี้
ก. ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้
ข. เถสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นาผึ้ง น้าอ้อย
ค. สลากภัตต์ คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก
ง. ผ้าวัสสิกสาฏก คือผ้าที่อธิษฐานสาหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้า หรืออาบน้าทั่วไป
จ. ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจานาพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกาหนด.


เก็งข้อสอบวิชาวินัยมุข นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. ภิกษุผู้ประพฤติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้องปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุทาตนให้ลาบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุจนถึงทาตนให้เป็นคนเลวทราม.
๒. อาทิพรมจริยาสิกขา และ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้คือ
อาทิพรหมจริยาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อันได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อบังคับโดยตรงที่ภิกษุจะต้องระพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ส่วน
อภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วย อภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติหรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรประพฤติ.
๓. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทาวินัยกรรมนั้น มีจากัดบุคคลและสถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ วินัยกรรม กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทาตามพระวินัย เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น ส่วนกรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์ มีจานวนอย่างต่าตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทา เช่น อปโลกนกรรม เป็นต้น
จากัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒. อธิษฐาน ต้องทาเอง
๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง
๔. ห้ามไม่ให้ทาในที่มืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น.
๔. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัยจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ?
ตอบ เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัยจัย
เปลือยกายทากิจแก่กัน เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ให้ของ รับของ และ
เปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ
๕. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทาการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ?
ตอบ การประณาม หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ และมีพระพุทธานุญาตให้ประณามผู้ประพฤติดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสมิได้
๓. หาความเคารพมิได้
๔. หาความหวังดีต่อมิได้
๖. ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้นทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
ตอบ ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้นทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด คือ
๑. โขมะ ผ้าทาด้วยเปลือกไม้
๒. กัปปาสิกะ ผ้าทาด้วยฝ้าย
๓. โกเสยยะ ผ้าทาด้วยใยไหม
๔. กัมพละ ผ้าทาด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕. สาณะ ผ้าทาด้วยเปลือกป่าน
๖. ภังคะ ผ้าที่ทาด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่ละอย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน
๗. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ สภาคาบัติ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องอาบัติเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน
เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน ให้แสดงในสานักของภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสานักของภิกษุนั้น.
๘. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกาหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง
ตอบ กาลิก คือ ของที่พึงกลืนให้ล่วงลาคอลงไป มี ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จากัดอายุคลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกาหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์
๙. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐานด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ผ้าบริขารโจล ได้แก่ ผ้าที่มิใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรอกน้า ถุงบาตร ย่าม
การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้วทาความผูกใจตามอธิฐานนั้นๆ ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคาอธิษฐานนั้นๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้.
๑๐. คาว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?
ตอบ อันโตวุฏฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน
อันโตปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน)
สามปักกะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง.
เก็งข้อสอบวิชาวินัยมุข นักธรรมชั้นโท
ตอนที่ ๒  สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)

๑. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ?
ตอบ สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่า อภิสมาจาร ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ จาต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของตระกูล
๒. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้ ๕ ประการคือ
๑. อุปัชฌายืหลีกไปเสีย
๒. สึกเสีย
๓. ตายเสีย
๔. ไปเข้ารีตเดียรถีย์
๕. สั่งบังคับ
๓. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คาขอนิสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ?
ตอบ ตามนัยแห่งอรรถกถาอาจารย์ ๔ ประเภท คือ
๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม
คาขอนิสัยอาจารย์ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ
๔. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ มี ๓ คือ
๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง
๕. บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทาอุโบสถต่างกันอย่างไร ?
ตอบ บุพพกรณ์ คือ กรณียะอันจะพึงกระทาให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์
ส่วนบุพพกิจเป็นธุระอันจะพึงทาก่อนการสวดปาติโมกข์
๖. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป ๒ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ เมื่อถึงวันอุโบสถต้องปฏิบัติอย่างนี้
๔ รูปพึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์
๓ รูปพึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูป พึงอธิษฐาน
๗. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจาร ปาปสมาจาร อเนสนา ?
ตอบ อุปปถกิริยา คือการทานอกรีตนอกรอยของสมณะ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ จัดเข้าในอนาจาร
ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควรจัดเข้าในอเนสนา
๘. ภิกษุอยู่จาพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ ภิกษุอยู่จาพรรษาย่อมได้อานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนาไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ
๙. ลหุภัณฑ์ และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้ และไม่ได้ ?
ตอบ ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สาหรับตัว คือ บาตร จีวร ประคดเอว เข็ม มีดพับ มีดโกณ เป็นของที่แจกกันได้ ส่วน ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสาหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้
๑๐. ภิกษุจะฉันสิ่งใดๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้าง ที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉันได้ ?
ตอบ มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า และดินได้



ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗

โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน.
ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มัน่ คง พึงเป็นอยู่ตั้ง ร้อยปี ส่วนผูมี้ปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียง
วันเดียว ดีกว่า.

(พุทฺธ)                                                                                        ขุ. . ๒๕/๒๙.

----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.

ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง



ปัญหาวิชาธรรม นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗

๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบา้ ง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ?
เป็นอารมณ์ของสมถกัมมฏั ฐานหรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๒. สังขตธรรม และ อสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ตน้ ไม้ ภูเขา เป็นสังขตธรรม
เพราะมีลกั ษณะอย่างไร ?
๓. มหาภูตรูป คืออะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?
๔. กิเลส กรรม วิบาก ไดชื้่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดใหข้ าดไดด้ ว้ ยอะไร ?
๕. กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ?
๖. ความรูสึ้กเฉยๆ ทางกาย กับความรูสึ้กเฉยๆ ทางใจ จัดเขา้ ในเวทนา ๕ อย่างไร ?
๗. กิเลส ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?
๘. การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ?
๙. ผูบ้ ริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ?
๑๐. บุคคลผูไ ดรั้บการยกย่องว่าเป็นพหุสุต เพราะประกอบดว้ ยคุณสมบัติอะไรบา้ ง ?


ปัญหาวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗

๑. พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครงั้ แรก มีจา นวนเท่าไร ?
ประกอบดว้ ยใครบา้ ง ?
๒. พระอัสสชิไดแ้ สดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
๓. อุบาสกผูป้ ระกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ?
๔. สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ไดบ้ รรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร ?
๕. การที่เจา้ ศากยะทูลขอใหพ้ ระอุบาลีผูเ้ป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ?
๖. ภิกษุ ภิกษุณี ผูเ้อตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ?
๗. พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปแก่
พระโสณโกฬิวิสะว่าอย่างไร ?
๘. มาณพทงั้ ๑๖ คนผูทู้ลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ?
ท่านตงั้ สา นักอยู่ที่ไหน ?

ศาสนพิธี

๙. จงเขียนคาถาที่ใชใ้ นการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู
๑๐. วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ? ทรงอนุญาตใหมี้ในวันใดบา้ ง ?
ปัญหาวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗

๑. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๒. การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ?
๓. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทากิจแก่กัน เช่นไหว้ รับไหว้
ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ. เปลือยในน้า
๔. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ? อะไรบ้าง ?
๕. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์
ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ
๖. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
๗. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก ๕ อย่าง
๘. กาลิก ๔ ได้แก่อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕ เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ?
๙. ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง ?
๑๐. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลาดับอย่างไรบ้าง ?


กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๖

มธุวา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ,
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ.
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน,
แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.

(พุทฺธ)                                                  ขุ.. ๒๕/๒๔.

----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.

ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๖

. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ?
. มี
. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ
. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้ ?
. มี
. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม
. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท
. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ
สงเคราะห์เข้าในข้อ สัมมาสังกัปปะ ฯ
. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ?
. ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร
ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร ฯ
. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทยสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
. มีอธิบายว่า
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัยเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดจริง จัดเป็นสัจญาณ
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ควรละ จัดเป็นกิจญาณ
. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ . ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คาว่า มาร หมายถึงอะไร ? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ?
. หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้
ทาความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอานาจของกิเลสแล้ว ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทาให้
เสียคนบ้าง ฯ
. คาว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วหมายถึงอะไร ?
. หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่ สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับปริยัติธรรม ๑)
. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด ?
. ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายทายก
ทักขิณาบางอย่าง ไม่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
อย่างที่ ๔ คือ ทักขิณาที่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร ?
. หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ
เพราะกิเลสชนิดนี้ บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้น
ในทันใด ฯ
. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง ?
. พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และ ปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ ๙ คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต,โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ, ภควา ฯ
๑๐. ธุดงค์ คืออะไร ? มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ?
๑๐. คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เปน็ อุบายขัดเกลากิเลส และเปน็ ไปเพื่อความ
มักน้อยสันโดษ ฯ
มี ๔ หมวด ฯ ดังนี้
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๖

. อภิสมาจาร คืออะไร ? เป็นเหตุให้ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
. คือ ขนบธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ
. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
. มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก หมวก ผ้านุ่งผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ ฯ
. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ? ที่จัดเป็นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมีอะไรบ้าง ?
. มี ไตรจีวร คือผ้านุ่งผ้าห่มและผ้าทาบ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน
และผ้ากรองน้า ฯ
ไตรจีวร บาตร ประคดเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภคเข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้า จัดเป็นบริขารอุปโภค ฯ
. คาว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร ?
. หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพานักอาศัยท่าน ฯ
ต้องถือนิสัยเสมอไป แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้เป็นไข้ ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้ จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้ ฯ
๕. ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ที่ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕. ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ
เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้าก็จะหก เสียมารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ฯ
๖. วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง ในแต่ละอย่างกาหนดวันไว้อย่างไร ?
๖. วันเข้าพรรษาต้น กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง คือวันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น
ล่วงแล้วเดือน ๑ คือ วันแรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ
๗. ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗. มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์
มีภิกษุ ๓ รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
มีภิกษุ ๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
มีภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐานหรือมีภิกษุต่ากว่า ๔ รูป จะไปทาสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น ก็ควร ฯ
๘. ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เพราะมีความประพฤติต่างกันอย่างไร ?
๘. ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทา ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส เป็นผู้ถึง พร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกลุ โดยฐานเป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขา
เลื่อมใสนับถือตน ฯ
๙. ก่อนหน้าปรินิพพาน ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ?
๙. ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผู้อ่อนพรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ
๑๐. อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร ?
๑๐. ได้แก่โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ
มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา ฯ









ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖

๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสาคัญอย่างไร ?
๑. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ ๓ เป็นพยานยืนยันความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นกาลังใหญ่ของพระพุทธเจ้าในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ
๒. พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ?
๒. เพราะเปน็ พระสตูรที่เหมาะแกบุ่รพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ
๓. พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง
๓. พระสารีบุตรเถระ ฯ
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
เรื่องที่ ๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
๔. พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ?
๔. บวชเพราะเบื่อหน่าย คือ พระยสะ พระมหากัสสปะ ฯ บวชเพราะเพื่อน คือ พระภัททิยศากยะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และเพื่อนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ
(ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้ และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้)
๕. อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ ทรงประทานให้แก่ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน ?
๕. การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะการรับครุธรรม ๘ ข้อ
ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ฯ
พระมหากัสสปะได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงคคุณ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ
๖. พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แทนพระองค์ ณ เมืองใด และได้ผลเป็นอย่างไร ?
๖. ณ เมืองอุชเชนี ฯ
ได้รับผล คือ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๗. ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม ? และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
๗. อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ทรงพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
๘. การทาสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ?
๘. ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้
กาจัดและป้องกันอลัชชีได้ ทาความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูกต้องและปฏิบัติถูกต้องได้ และทาให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ

ศาสนพิธี

๙. ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
๙. ๓ ประเภท ฯ คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
๑๐. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ฯ
๑๐. การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้นเว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ ฯ
การออกพรรษา หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกาหนดอยู่จาพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษา พระวินัยว่า ปวารณากรรม คือการทาปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ





ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๕

อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส โถกํโถกํปิ อาจินํ.
แม้หม้อน้ำยังเต็มม้้ยยัหยัำ้น้ำฉังนด้ คนตขลำสง่เสมบำป แม้ทีละน้อยั ๆ
กมต็มม้้ยยับำปฉังนนง้น.
(พุทฺธ)                                        ขุ.. ๒๕/๓๑.

----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.

ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง



ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

๑. กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่าเกสาโลมานขาทนฺตาตโจ ตโจ ทนฺตานขาโลมาเกสานั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๑. ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือ มูลกัมมัฏฐาน ฯ เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๒. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ?
๒. ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือ คุณธรรมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่าอริยปริเยสนา แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเล่น เป็นการแสวงหา ไม่ประเสริฐ เรียกว่าอนริยปริเยสนา ฯ
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทางาน ต่างกันอย่างไร ?
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทาด้วยมุ่งให้สมภาวะ ของตน ผู้ทามุ่งผลอันจะได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ ทาด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทา หรือทาด้วยอานาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ
๔. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกาหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ ๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจที่ควรกาหนดรู้ ได้กาหนดรู้แล้ว จัดเป็น กตญาณ ฯ
๕. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของ อย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๕. มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคาเสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ
๖. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ?
๖. คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ มี ๔อย่าง ฯ ข้อที่ ๔ว่า ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
๗. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ?
๗. เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทาความลาบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
๘. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ?
๘. สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็นรากฐานแห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ
๙. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง ๒ ได้อย่างไร ?
๙. มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๒. อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม ๔. สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคานับ ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของต้อนรับ ๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทาบุญ ๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทาอัญชลี [ประณมมือไหว้] ๙. อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
๑๐. กรรมที่บุคคลทาไว้ ทาหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
๑๐. ทาหน้าที่ คือ ๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม ๒. สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓. บีบคั้น (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปฆาตกกรรม ฯ



ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

๑. ภิกษุแม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติ ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหนบ้าง ?
๑. ได้แก่ ภิกษุบ้าคลั่งจนไม่มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุเพ้อจนไม่รู้สึกตัว ภิกษุกระสับกระส่าย เพราะมีเวทนากล้าจนถึงไม่มีสติ ฯ
๒. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือ การสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และ อัพภาณกรรม มีจากัดจานวนสงฆ์อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตาม พระวินัย ?
๒. การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย อัพภาณกรรม ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ
๓. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย
๓. อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่าผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่าผู้อยู่ด้วย นิสสัย เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะ นั้นอย่างไร ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้
๑. ไม่ทาให้เปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉัันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านาไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. คาว่าวัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ? ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาสเป็น อาบัติอะไร ?
๕. คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกาหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ
๖. ภิกษุอยู่จาพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณาย่อมได้อานิสงส์แห่ง การจาพรรษาอะไรบ้าง ?
๖. ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉัันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ
๗. ปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจาพรรษา๓ รูป เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗. มี ๓ อย่าง ฯ คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงทาคณปวารณา ฯ
๘. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ? เห็นว่าข้อไหนสาคัญ ฯ
๘. คือ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑ ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ เห็นว่าข้อสุดท้ายสาคัญ ฯ
๙. ภิกษุได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ?
๙. เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากอโคจร คือบุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ
๑๐. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ?
๑๐. เนยใส เนยข้น น้ามัน น้าผึ้ง น้าอ้อย ฯ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ



ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

๑. การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับ อนุตตริยะอะไรบ้าง ?
๑. ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ
๒. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ และพระยสะ เหมือนกันหรือต่างกัน ? เพราะเหตุไร ?
๒. เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ ว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรม อันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เถิดต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดารัสต่อท้ายว่า เพื่อทาที่สุด ทุกข์โดยชอบเพราะท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์ ส่วนพระยสะ ไม่มีคาว่า เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบเพราะท่านบรรลุ พระอรหัตต์แล้ว ฯ
๓. พระอัญญาโกณฑัญญะ กับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนาโดย มีมูลเหตุความเป็นมาต่างกันอย่างไร ?
๓. ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ที่ท่านกล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้ว จึงขอบวช ฯ พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่า เป็นผู้วิเศษ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึง ลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ
๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ? ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟัง พระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๔. พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
๕. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา ๒. บวชเพราะจาใจ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป ฯ
๕. ๑. บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล ๒. บวชเพราะจาใจ คือ พระนันทะ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป คือ พระวักกลิ ฯ
๖. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วย วิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือใคร ? อุปสมบทด้วยวิธีใด ?
๖. มี ฯ คือ พระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๗. หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดานี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
๗. เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
๘. ข้อธรรมว่าโลกคือหมู่สัตว์อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืนเรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร ?
๘. เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ

ศาสนพิธี

๙. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวาย คนแรก ?
๙. มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก ภิกษุทั้งหลาย จึงเปลือยกายอาบน้า นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอพระพุทธานุญาต เพื่อถวาย ผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
๑๐. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู
๑๐. นจฺจ คีต วาทิต วิสูก ทสฺสนา มาลา คนฺธ วิเลปน ธารณ มณฺฑน วิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ



ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๑๒ ธันวาคม พ.. ๒๕๕๔

อคฺคสฺมึ ทานํททตํ อคฺคํปุญฺญํปวฑฺฒติ
อคฺคํอายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํพลํ.
เมื่อให้ทานในวัตถุอันเลิศ บุญอันเลิศ อายุวรรณะยศเกียรติสุขและ
กาลังอันเลิศ ก็เจริญ.
(พุทฺธ) ขุ                                               อิติ. ๒๕/๒๙๙

----------------

แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป

----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง



ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

๑. ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
๑. คือศึกษา ในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปฯ ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น ฯ
๒. มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
๒. มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ
๓. ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
๓. อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม ครั้นทากรรมแล้ว ย่อมได้รับ วิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
๔. เมตตากับปรานีมีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? และอย่างไหน กาจัดวิตกอะไร ?
๔. เมตตาหมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานีหมายถึงความปรารถนาให้ ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตากาจัดพยาบาทวิตก ปรานีกาจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๕. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ในฝ่ายทายก และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ?
๕. คือ ของทาบุญ ฯ ทักขิณาจะบริสุทธิ์ มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ มีทุศีลมีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ
๖. บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺม นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๖. มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ ได้ชื่อว่าดีเพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลาดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๗. พระพุทธคุณว่า อรห ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคาอะไรมาประกอบร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท ของพระศาสดาหรือของพระสาวก ?
๗. ได้ ฯ สาหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สาหรับพระสาวกใช้ว่า อรห ขีณาสโว แปลว่า พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
๘. คาว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู
๘. ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน มรรคผลทั้งสิ้น คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล คู่ ๑ ฯ
๙. พระบาลีว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้ คาว่า สังขารหมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ?
๙. หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่
๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓. อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา
๑๐. ครุกรรม คืออะไร ? อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล หรืออกุศล ?
๑๐. คือ กรรมหนัก ฯ อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้อง ปฏิบัติอย่างไร ?
๑. จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่าง งมงาย จนเป็นเหตุทาตนให้ลาบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อัน ขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทาตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๒. เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ ?
๒. เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทากิจแก่กัน เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎฯ
๓. ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๓. แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๔. วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ ฯ
มี ๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒. จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓. วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๕. คารวะ คืออะไร ? การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทาแก่ผู้ใหญ่ แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ?
๕. คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และ บุคคล ฯ ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสานักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน ในเวลานั่งเข้าแถวในบ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
๖. ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจาปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จาได้ แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
๖. สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุ ฉุกเฉินนั้น ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจาได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก ไม่จัดเข้าในเหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ
๗. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗. คือ อาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับ อาบัติของกัน ให้แสดงในสานักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสานักของ ภิกษุนั้นฯ
๘. ภิกษุได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส กับภิกษุ ผู้ได้รับการตาหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายตระกูล เพราะมี ความประพฤติเช่นไร ?
๘. ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก เพราะถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขาเลื่อมใสนับถือตน ส่วนภิกษุผู้ได้รับการตาหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล เพราะประพฤติ ให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของ กานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทากัน ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการ เอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก ฯ
๙. ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐาน ด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
๙. ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่นผ้ากรองน้าถุงบาตร ย่าม ฯ การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทาความผูกใจตามคาอธิษฐานนั้นๆ ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือ การเปล่งคาอธิษฐานนั้นๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๑๐. ผ้าต่อไปนี้ คือ สังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้าฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร ผืนใดที่ทรงอนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ?
๑๐. สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้าฝน ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

๑. พระอัญญาโกณฑัญญะสาเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว กี่วัน ? สาเร็จเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๑. ๕ วัน ฯ ชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ
๒. ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนิว่า โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะบวชนาน ?
๒. ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัด อาจทาให้สาเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนาผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจ ผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
๓. พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ?
๓. แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนา ศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม ฯ
๔. พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบ สัก ๑ เรื่อง เพื่อยืนยันคากล่าวนี้
๔. (ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง)
เรื่องที่ ๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ใน ทิศใด ก่อนจะนอน ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ
เรื่องที่ ๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตาม ปรารถนา พระศาสดาทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใคร ระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง, พระสารี
บุตรทูลว่า ราธพราหมณ์ เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญู ดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจาได้ ฯ
๕. ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ ถูกต้องเป็นอย่างไร ?
๕. ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยงดับไป ฯ
๖. พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็น อารมณ์สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ?
๖. ๘ วัน ฯ สงเคราะห์เข้าใน กายคตาสติ และ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ
๗. พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตรนั้นชื่ออะไร ?
๗. พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ ที่คุนธาวัน แขวงมธุรราชธานี ฯ สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ
๘. อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟังพุทธพยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ?
๘. พราหมณ์พาวรี ฯ ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ศิษย์อีก ๑๕ คน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฯ ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ

ศาสนพิธี

๙. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
๙. คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจาพรรษา ในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้า เปิดโลก ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ จนเป็นประเพณีทาบุญ ตักบาตรที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐. วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
๑๐. เมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ




กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๓

กลฺยาณิเมว มุญฺเจยฺย น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ
โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ.
พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจางาม
ยังประโยชน์ให้สาเร็จ คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน.
(พุทฺธ)                                        ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๒๘

----------------

แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป

----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓

๑. สังขตธรรม คืออะไร ? มีลักษณะอย่างไร ?
๑. คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯมีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความดับไปในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ฯ
๒. วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ?
๒. ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจาก ราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ
มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสด้วยอานาจอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป
ไม่กลับเกิดอีก ฯ
๓. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
๓. มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒. กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
๓. กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๔. ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ?
๔. ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึงภาวะ อันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
๕. กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะเพราะเหตุไร ?
๕. ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมกอยู่ในสันดาน ฯ
๖. จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร ?
๖. ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต
๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ
พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๗. พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ?
๗. คือ อรห , สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ, ภควา ฯ
๕ บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
๘. พระโสดาบัน แปลว่าอะไร ? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ?
๘. แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ขาด ฯ
๙. ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกาหนดเฉพาะกาล คือข้อใด ? เพราะเหตุใด ฯ
๙. เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ รุกขมูลิกังคะ และ อัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์ ๒ ข้อนี้ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจาตามพระวินัยนิยม ฯ
๑๐. บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
๑๐. ประกอบด้วย
๑. พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก
๒. ธตา ทรงจาได้
๓. วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา
๔. มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ
๕. ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ



ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓

๑. พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลาดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัทนั้นคือใคร ?
๑. มีลำดับอย่ำงนี้ คือ ภิกษุ อุบำสก อุบำสิกำ และภิกษุณี ฯพระอัญญำโกณฑัญญะ เป็นคนแรกของภิกษุบริษัทบิดำของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบำสกบริษัทมำรดำและภรรยำของพระยสะ เป็นคนแรกของอุบำสิกำบริษัทพระนำงปชำบดี โคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบาเพ็ญทุกรกิริยา ?
๒. เพรำะได้เคยเข้ำร่วมทำนำยพระลักษณะของพระมหำบุรุษโดยเชื่อมั่นว่ำจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ำ จึงตำมอุปัฏฐำกด้วยหวังว่ำ เมื่อพระมหำบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนำโปรด ฯ
๓. มารยาทดีมีความสารวมย่อมเป็นศรีของสมณะ สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น นี่เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด ? จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ
๓. ของพระอัสสชิเถระ ฯ
ท่ำนเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนำจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นกำลังในกำรประกำศพระศำสนำ อุปติสสปริพำชกพบเห็นแล้วเกิดควำมเลื่อมใส ขอฟังธรรมจำกท่ำน แล้วได้เข้ำมำบวชในพระพุทธศำสนำ ฯ
๔. ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ?
๔. ได้ฟัง อนุปุพพีกถำ และอริยสัจ ๔ ฯ
ณ ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน แขวงเมืองพำรำณสี ฯ
๕. พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ?
๕. พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพรำะท่ำนรู้จักเอำใจบริษัท รู้จักสงเครำะห์ด้วยอำมิสบ้ำง ด้วยธรรมบ้ำง ฯ
๖. พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้ พระองค์ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด ?
๖. พระมหำกัสสปะ ฯ
เป็นเอตทัคคะในทำงถือธุดงค์ ฯ
๗. พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์เมื่อครั้งไหน ? ได้ผลอย่างไร ?
๗. เมื่อครั้งที่ท่ำนบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้ำให้เสด็จไปกรุงอุชเชนี เพื่อประกำศพระศำสนำตำมพระรำชประสงค์ของพระเจ้ำจัณฑปัชโชต แต่พระพุทธเจ้ำรับสั่งให้ท่ำนไปแทน ฯ พระเจ้ำจัณฑปัชโชตและชำวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศำสนำ ฯ
๘. พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมาย
อย่างไร ?
๘. ด้วยเรื่องสุญญตำนุปัสสนำ ฯ มีควำมหมำยว่ำ ให้พิจำรณำเห็นโลกโดยควำมเป็นของว่ำงเปล่ำ ถอนควำมเห็นว่ำเป็นตัวตนของเรำเสีย ฯ

ศาสนพิธี

๙. คาว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทาบุญฉลองอัฐิจัดเข้าในอย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ?
๙. เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงำนมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงำนอวมงคล ฯ
จัดเข้ำในกำรเจริญพระพุทธมนต์ แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสำยสิญจน์ ฯ
๑๐. งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ?
๑๐. คืองำนทำบุญที่คณะญำติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยหำยป่วยและเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกำสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลำยแห่งชีวิตของตน หรือเป็นควำมประสงค์ของผู้จะทำบุญต่ออำยุเองเพื่อควำมเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓

๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา กับ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ?
๑. ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ อันได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์ เป็นข้อบังคับโดยตรงทีภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติหรืออนุญาตไว้ อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรประพฤติ ฯ
๒. วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทาวินัยกรรมนั้น มีจากัดบุคคลและสถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ?
๒. ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทาตามพระวินัย เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม กรรมที่ภิกษุ ครบองค์เป็นสงฆ์ มีจานวนอย่างต่าตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทา เช่น อปโลกนกรรมเป็นต้น เรียกว่าสังฆกรรม ฯ
จากัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒. อธิษฐาน ต้องทาเอง
๓. วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานาสามเณร สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง
๔. ห้ามไม่ให้ทาในที่มืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ
๓. ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คาขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ?
๓. มี ๔ ประเภท ฯ
คือ ๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒. อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓. นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔. อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ
ว่า อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
๔. กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทาให้
ถูกต้องตามกาลเทศะ ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ
๔. ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ทาอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืดที่แลไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับหรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือ
ส่งใจไปอื่น แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
๕. ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๕. ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓ รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้ ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญัตติ จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑ รูป พึงอธิษฐาน ฯ
๖. อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจารปาปสมาจาร อเนสนา ?
๖. คือ การทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจารความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร ความเลี้ยงชีพไม่สมควรจัดเข้าในอเนสนา ฯ
๗. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าโคจรสัมปันโนผู้ถึงพร้อมด้วยโคจรเพราะปฏิบัติอย่างไร ?
๗. เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็นกิจลักษณะในเวลาอันควร ไม่ไปพร่าเพรื่อ กลับในเวลาประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อนสหธรรมิกเพราะการไปเที่ยว ฯ
๘. ยาวกาลิกกับยาวชีวิกได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฎเกณฑ์กาหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง
๘. ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ยาวชีวิกได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจากัดกาล ฯ
กฎเกณฑ์กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด ฯ เช่นยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน เป็นเกณฑ์ ฯ
๙. คาว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?
๙. อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน ฯ
อันโตปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน) ฯ
สามปักกะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง ฯ
๑๐. ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉันได้ ?
๑๐. ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือมูตร คูถเถ้า และดินได้ ฯ




ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๒
อวณฺณญฺจ อกิตฺติญฺจ ทุสฺสีโล ลภเต นโร
วณฺณํ กิตฺตึ ปสํสญฺจ สทา ลถติ สีลวา
คนผู้ทุศีล ย่อมได้รับความติเตียน และความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีล
ย่อมได้รับชื่อเสียงและความยกย่องสรรเสริญทุกเมื่อ
(สีลวตฺเถร) ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๗
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๕ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๒

. ตจปัญจกกัมมัฏฐานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
. เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
มี เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน และ ตโจ หนังฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานฯ
. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้นหรือไม่ ? จงอธิบาย
. เป็นลักษณะของสังขตธรรมฯ มีลักษณะเช่นนั้น คือ เมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไปฯ
. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร ?
. ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกฯ
พระวินับปิฎก ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นาความประพฤติให้สม่าเสมอกัน หรือเป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคาสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยคาสอนยกธรรมล้วนๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคล เป็นที่ตั้งฯ
. อาสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ?
. มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะฯ
๕. มาร มีอะไรบ้าง ? อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ?
๕. มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓. อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔. มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕. เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมารฯ
๖. สวรรค์มีกี่ชั้น ? อะไรบ้าง ?
๖. มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่
๑. ชั้นจาตุมหาราชิก
๒. ชั้นดาวดึงส์
๓. ชั้นยามา
๔. ชั้นดุสิต
๕. ชั้นนิมมานรดี
๖. ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
๗. พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกาแห่งสังสารจักร ถามว่า กา ได้แก่อะไร ? สังสารจักร ได้แก่อะไร ?
๗. กา ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรมฯ สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบากฯ
๘. มิจฉัตตะ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ?
๘. ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ มี
๑. มิจฉาทิฏฐิ            ๒. มิจฉาสังกัปปะ       ๓. มิจฉาวาจา           ๔. มิจฉากัมมันตะ      ๕. มิจฉาอาชีวะ
๖. มิจฉาวายามะ       ๗. มิจฉาสติ              ๘. มิจฉาสมาธิ           ๙. มิจฉาญาณะ         ๑๐. มิจฉาวิมุตติฯ
มิจฉาวายามะ ได้แก่ พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ และในทางยังกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไปฯ
๙. สังโยชน์ คืออะไร ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรขาดบ้าง ?
๙. คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ
๑. สักกายทิฏฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส ฯ
๑๐. ธุดงค์ ได้แก่อะไร ? การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า ฉันเอกาจัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
๑๐. ได้แก่ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ จัดเข้าในข้อ เอกาสนิกังคะ คือ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๒

. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสาคัญอย่างไร ?
. มีความสาคัญ คือ พระสงฆ์สาวกจัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ถ้าไม่มีพระสาวกสงฆ์เป็นผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติธรรม ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สาเร็จประโยชน์ และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกาลังใหญ่ของพระศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก
. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็นปฐมสาวก เพราะเหตุ ?
. เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนและได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น ฯ
. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์และพระยสะต่างกันอย่างไร ? เพราะเหตุไร ?
. ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคาว่า เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไม่มีคาว่า เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสาคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้นชื่ออะไร และเป็นผู้เลิศในทางใด ?
. พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณนมันตานีบุตรเป็นศิษย์เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก
พระอัสสชิ ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ฯ
. ชฏิล ๒ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ?
อุรุเวลกัสสปะ ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็นผู้วิเศษแต่ประการใด ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท
ส่วนนทีกัสสปะ และ คยากัสสปะ เห็นพี่ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขออุปสมบทฯ
๖. พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร ?
๖. เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะควรไปถึง กลางวันไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืนเงียบเสียงที่จะอื้ออึงกึกก้อง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการเป็นที่สงัด และควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดาฯ
ทรงถวายด้วยการหลั่งน้าจากพระเต้าทองฯ
๗. คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่านี้เป็นคาพูดของใคร ? พูดกะใคร ?
๗. ของอุปติสสมานพ ฯ พูดกะโกลิตมาณพฯ
๘. คาถามว่า ข้าพเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็นใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ?
๘. พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเป็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความตามเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล มันจุราชจึงไม่แลเห็นเห็นฯ

ศาสนพิธี

๙. สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ?
๙. ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปปกติ ไม่ว่างานใด ก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้นฯ ส่วน วิเสสอนุโมทนา คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสาหรับอนุโมทนาเป็นบทพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่องฯ
๑๐. บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... และบท อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ต่างกันอย่างไร ?
๑๐. บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
บท อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

๑. สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น๒ คือเป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต๑ นั้น คืออย่างไร ?
๑. ที่เป็นข้อห้าม คือกิริยาบางอย่างหรือบริขารบางประเภทไม่เหมาะแก่สมณะสารูป จึงทรงห้ามไม่ให้กระทาหรือใช้บริขารเช่นนั้น เช่นห้ามไม่ให้ไว้ผมยาว ไม่ให้ไว้หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น
ที่เป็นข้ออนุญาต คือการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่นทรงอนุญาตวัสสิกสาฎกในฤดูฝน เป็นต้นฯ
๒. มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่างพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ ในกรณีที่ภิกษุถูกโจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย ?
๒. พึงปิดกายด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ฯ
๓. ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
๓. ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ คือ
๑. โขมะ ผ้าทาด้วยเปลือกไม้
๒. กัปปาสิกะ ผ้าทาด้วยฝ้าย
๓. โกเสยยะ ผ้าทาด้วยใยไหม
๔. กัมพละ ผ้าทาด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕. สาณะ ผ้าทาด้วยเปลือกป่าน
๖. ภังคะ ผ้าที่ทาด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๔. การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทาการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร ?
๔. หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ
ผู้ประพฤติ ดังนี้
๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสมิได้
๓. หาความละอายมิได้
๔. หาความเคารพมิได้
๕. หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
๕. บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทาอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทาบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ?
๕. บุพพกรณ์ คือ กรณียะอันจะพึงกระทาให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วน บุพพกิจเป็นธุระอันจะพึงทาก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ
บุพพกรณ์นั้นเป็นกรณียะจะต้องทา เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้นไม่ต้องทา เพราะภิกษุ ๓ รูป ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
๖. ภิกษุจาพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ อยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๖. อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นการสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงปวารณาเป็นการคณะ อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๗. การทานอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ความประพฤติเช่นไร ? รวมเรียกว่าอะไร ?
๗. อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ
ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
รวมเรียกว่า อุปปถกิริยา ฯ
๘. กาลิก คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? กาลิกกระคนกันมีกาหนดอายุไว้อย่างไร ? จงยกตัวอย่าง
๘. ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลาคอเข้าไป ฯ มีดังนี้ คือ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และ ยาวชีวิก ฯ กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จากัดอายุคลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกาหนดอายุไว้ ๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ฯ
๙. การแสดงอาบัติ การอธิษฐาน การทาวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทากิจเหล่านี้จากัดคนไว้อย่างไร ?
๙. เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ จากัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิษฐาน ให้ทาเอง
การทาวิกัป จากัดผู้รับ ต้องทากับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ
๑๐. ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง
๑๐. เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากบุคคลและสถานที่ไม่สมควรไปคืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจรอันเป็นคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ


กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
สีลสมาธิคุณานํ ขนฺติ ปธานการณํ
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต ฯ
ขันติเป็นประธาน เป็นเหตุแห่งคุณคือศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจเพราะขันติเท่านั้น ฯ
ส. ม. ๒๒๒

--------------------

แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกันแต่จะซํ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กำหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง



ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๐

. พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร? ชื่อว่าพระอเสขะ เพราะอะไร ?
. ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทาแล้ว ฯ
. ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จงอธิบาย ?
. เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง ๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ
. ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ?
. ได้แก่ พระธรรม และ พระวินัย ฯ ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ
. พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร?
. กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง ๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ ฯ
๕. กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง จงอธิบาย ?
๕.กรรม คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ ฯ
๖. วิโมกข์ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๖. คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ
มี สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
๗. พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง ?
๗. ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๘. โยนิ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก จัดอยู่ในโยนิไหน ?
๘. คือ กาเนิด ฯ
มี ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ อัณฑชะ เกิดในไข่
สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน โอปปาติกะ ฯ
๙. เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร ?
๙. เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา ๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา ๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์ และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา ๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
๑๐. ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
๑๐. อุปัตถัมภกกรรม ทาหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

๑. สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ?
การเรียนอนุพุทธประวัติสาเร็จประโยชน์อย่างไร ?
๑. สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย
ปัจเจกพุทธะ ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
อนุพุทธะ ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้ และสามารถสอนผู้อื่นให้กระทาตามด้วย ฯ
เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็นเหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคง แล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บาเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านโดยควรแก่ฐานะของตน ทั้งให้สาเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน ? เรียนจบอะไร ? ทาไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ ?
๒. ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ
เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ   เรียนจบไตรเพทและรู้ตาราทานายลักษณะ ฯ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺญาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงเปล่งเมื่อท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ
๓. เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นากลับไปตามความประสงค์เดิม ?
๓. เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ
๔. พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ทรงพาท่านไปกรุงราชคฤห์ด้วย เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ?
๔. พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของตน เห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท ฯ
ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ฯ
๕. พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า ถ้าพระองค์จะเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้   พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕. ข้อต้น เพื่อป้องกันคาติเตียนว่า พระอานนท์บารุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ
ข้อหลัง เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บารุงพระศาสดาไปทาอะไร เพราะพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ
๖. ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ?
๖. มี
๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จาเพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จาต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ ฯ
๗. พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ? เพราะเหตุไร ?
๗. เป็นคนที่ ๑๕ ฯ เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน แต่เมื่อปรารภจะทูลถามเป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ ฯ
๘. ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ? จงบอกมาสัก ๒ คู่
๘. (ตอบเพียง ๒ คู่)
พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร
พระอัสสชิกับพระสารีบุตร
พระสารีบุตรกับพระราธะ
พระสารีบุตรกับพระราหุล
พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ ฯ

ศาสนพิธี

๙. วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร? เนื่องด้วยวันนั้น มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
๙. คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไป จาพรรษาในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น จนเป็นประเพณีทาบุญตักบาตรที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐. บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร ?
๑๐. บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน โดยเฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทาเมื่อป่วยหนัก เป็นการกาหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง ฯ
ว่า อจิร วตย กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถ ว กลิงฺคร ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๕๐

. อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร ? และปรับอาบัติอะไรได้บ้าง ?
. อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อห้าม ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ ฯ
. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร ?
. อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่นจีวรถูกไฟไหม้ ถูกโจรชิงไปหมด นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฏ แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่งห่มต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
. วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ?
. คือ ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่นๆ อันเป็นเดนลงในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร ฉันแล้วให้ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมดน้าก่อนจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
. สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง?
. คือ ภิกษุผู้พึ่งพิง ในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูปนั้นฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ
. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ
ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
. ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้ว
แก่สัทธิวิหาริก
๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทาการพยาบาล ฯ
๕. ภิกษุอยู่จาพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายใน วันนั้น มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มีเหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้ พรรษาขาดหรือไม่? เพราะเหตุใด?
๕. ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด
๖. ในการทาอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
๖. มีดังนี้ นาปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นาฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่งสอนนางภิกษุณี ฯ
ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทาอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร แล้วสวด ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๗. ปวารณา คืออะไร? มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทาปวารณาได้ ? และทาในวันไหน?
๗. คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จาพรรษาถ้วนไตรมาสทาปวารณาแทนอุโบสถ ฯ
ในวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจาพรรษา ฯ
๘. ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ?
๘. เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ
๙. ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ?
๙. ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น
ส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจากัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้ ได้แก่ รากไม้ น้าฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้นฯ
๑๐. อโคจร คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๑๐. คือ บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ
มีหญิงแพศยา ๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ



กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.. ๒๕๔๙
อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ.
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทากรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก
เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้.

( พุทฺธ ) ขุ. . ๒๕/๓๓.
--------------------

แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกันแต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป

--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

๑. มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ?
๑. คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์ สอนก่อนบรรพชา ฯ
ถ้าเพ่งกาหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้น พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ
๒. ปฏิสันถาร คืออะไร ? จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ?
๒. คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรอง ด้วยของ ต้อนรับตามสมควรด้วยไมตรีจิต
ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี ๒ อย่าง คือ
๑. อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุ สิ่งของต้อนรับ เช่น ข้าว น้า หรือที่พัก เป็นต้น
๒. ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการ ต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้มาเยือน หรือการให้คาแนะนา ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ฯ
๓. อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ?
๓. กามวิตก ทาใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ
พยาบาทวิตก ทาให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทาร้ายผู้อื่น วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงาจิต ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ กามวิตก แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน
พยาบาทวิตก แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร  วิหิงสาวิตก แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ
๔. พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทา โดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ?
๔. ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่ ยังจากัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จากัด จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ฯ
๕. ทักขิณา คืออะไร ? ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มีอะไร เป็นเครื่องหมาย ?
๕. คือ ของทาบุญ ฯ
มีกัลยาณธรรมของทายก หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมาย ให้รู้ว่า บริสุทธิ์ และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือ ปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ ฯ
๖. มาร คืออะไร ? เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ?
๖. คือ สิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทา ความดี จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
หมายถึง อกุศลกรรม ฯ
๗. พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคาว่า ท้าให้มาพิสูจน์ได้” ?พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบายว่าอย่างไร ?
๗. บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ
มีอธิบายว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์ ได้ทุกเวลาและสามารถนาไปประพฤติในชีวิตประจาวันเพื่อประโยชน์ สุขได้ ฯ
๘. บารมี คืออะไร ? อธิษฐานบารมี คือการทาอย่างไร ?
๘. ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดี ที่บาเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ
คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทาของตน ไว้แน่นอนและดาเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่
๙. คาต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
ก. ชนกกรรม
ข. อุปัตถัมภกกรรม
ค. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
ง. อุปปัชชเวทนียกรรม
จ. กตัตตากรรม
๙. ก. กรรมแต่งให้เกิด
ข. กรรมสนับสนุน
ค. กรรมให้ผลในภพนี้
ง. กรรมให้ผลในภพหน้า
จ. กรรมสักว่าทา คือกรรมที่ทาด้วยไม่จงใจ ฯ
๑๐. ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์ คือการ ถือปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือ การถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือ บริเวณป่าและจะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.. ๒๕๔๙

. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสาคัญต่อพระศาสดา อย่างไร ?
. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสาคัญอย่างนี้ แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อ ขาดผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สาเร็จประโยชน์ ฯ
. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่าน หนักไปทางไหน ในตาราทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ? ขอฟังเหตุผล
. เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตารา แน่ใจ จึงบวชตามและเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวัง นี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า เลิกเสียเป็นอันไม่สาเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สาเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการที่คัดค้าน และพูดถ้อยคาที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ
. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลาเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร ?
. อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส เนื่องจากได้เห็นอาการของ พวกชนบริวารอันวิปริตไปโดยอาการต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้ เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนา จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ
๔. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ?พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้?
๔. เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
ดีอย่างนี้คือ ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อัน บริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนา ในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
๕. เมื่อเอ่ยถึง พระสารีบุตร ทาให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตร กี่วัน ?
๕. คือพระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ ก่อนพระ สารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตาบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน ฯ
๖. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะ การงานที่ผู้อื่นทาไม่ดีแล้วมีใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวช คือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน ? เพราะเหตุใด ?
๖. คือ พระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะ ท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจา คือ ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
๗. พระสาวก ผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือ ใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?
๗. คือ พระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคาที่ย่อ ให้พิสดาร ฯ

ศาสนพิธี

๘. ศาสนพิธี คืออะไร ? การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
๘. คือ พิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑. ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒. ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓. ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
๙. การทาวัตร คืออะไร ? ทาวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ?
๙. คือ การทากิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทากิจ ที่ต้องทาประจาจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า ทาวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทาวัตรสวดมนต์นี้ บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทา เมื่อทาประจาวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๑๐. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะ รักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่ง พระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ
มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร ?
๑. คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ถ้าล่วงละเมิดแต่บางอย่างหรือบางครั้งก็เสียหายน้อย แต่ถ้าล่วงละเมิด มากอย่างหรือเป็นนิตย์ ธรรมเนียมย่อมกลายไปหรือเสื่อมไป ภิกษุ จะแตกเป็น ๒ พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ฯ
๒. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตาม วินัยแผนกอภิสมาจาร ?
๒. พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บ ให้เกลี้ยงเกลาด้วยมุ่งหมายให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัด มลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทา ฯ
๓. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใส ของประชาชน ?
๓. การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า ภิกษุย่อมนิยมใช้สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบๆ ไม่ใช้ ของดีที่กาลังตื่นกันในสมัยอันจะพึงเรียกว่าโอ่โถง ความประพฤติปอน ของภิกษุนี้ย่อมทาให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ
๔. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ?
๔. คือ ผ้าสาหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดู หนาว ฯ
มีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้นจึง พอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
๕. พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความ เจริญงอกงามในพระธรรมวินัย ?
๕. พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และ สัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิทสนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สาคัญ สัทธิวิหาริกฉันบุตร ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็น เช่นนี้ ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ฯ
๖. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรง สั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่าอย่างไร ?
๖. ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา ของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะ พยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้น พยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
๗. วิธิวัตร คืออะไร ? มีความสาคัญอย่างไร ?
๗. คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่นแบบอย่างการห่มผ้าเป็นต้น ฯ
แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่าเสมอกัน เช่นนุ่งห่ม เป็นแบบเดียวกันอันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะ ไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละอย่าง จนไม่มี อะไรเหลือเมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ
๘. การจาพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ
๘. การจาพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทาอาลัย คือ ผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน แต่ในบัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคาอธิษฐานพร้อม กันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิม เตมาส วสฺส อุเปม แปลความว่า เราเข้าถึง ฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
๙. ในการทาอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์ และการอธิษฐาน ทรงให้ทาได้ในกรณีใด
๙. ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามี เพียง ๓ รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตน แก่กันและกัน ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้ เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
๑๐. คาว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้ จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสาหรับภิกษุเอาไว้ใช้สาหรับตัว
(เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ
พึงทาพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิม พินฺทุกปฺป กโรมิ เราทาหมาย ด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิม สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิ ผืนใหม่ว่า อิม สงฺฆาฏึ อธิฏฺามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ




กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๘
ยมฺหิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ อกิจฺจํ ปน กยีรติ
อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา.
คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ ไปทำกิจที่ไม่ควรทำ เมื่อเขาถือตัว
มัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ.
(พุทฺธ) ขุ. . ๒๕/๕๔.
-------------------
แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกัน แต่จะซํ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กําหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
-------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ? จงอธิบาย
๑. ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเพ่ง กาหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง เสื่อมสลายไปในที่สุด หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา ฯ
๒. มหาภูตรูป คือ อะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?
๒. คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ลม ฯ  เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป เมื่อรูปใหญ่แตกทาลายไป  อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทาลายไปด้วย ฯ
๓. พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา
คือทรงประพฤติอย่างไร ?
๓. ทรงทาหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้ บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น และทรงบัญญัติสิกขาบท  อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร ฯ
๔. ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ?
๔. ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอานาจหัวดื้อ จนเป็นเหตุเถียงกัน ทะเลาะกัน สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน  ด้วยอานาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย ฯ
๕. มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?
๕. ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมด
โอกาสที่จะทาประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป ฯ
๖. พระพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้  ไม่มีใครยิ่งกว่าคาว่า บุรุษที่ควรฝึกได้นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
๖. หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา  แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม ฯ
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร ?
๗. กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ของสัตว์ มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์ เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ
๘. ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ?
๘. ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ
๙. พุทธภาษิตว่า ผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่
ปรากฏว่าผู้ทากรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี ผู้ทากรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุใด ?
๙. เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไป ผู้ทากรรมชั่วได้รับสุข เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา  ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามให้ผลอยู่ เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทากรรมดี ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่ จึงต้องรับทุกข์ลาบากอยู่ ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทาไว้นั้นยังไม่สูญหายไป ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา ตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ
๑๐. คาว่า วัตรในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง
เคร่ง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้น ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัย นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

๑. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๑. ต้องอาบัติถุลลัจจัย และ ทุกกฏ ฯ
๒. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ?
๒. ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
๓. ภิกษุไม่ต้องนาผ้าไตรจีวรไปครบสารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง ?
๓. ใน ๒ กรณี คือ
๑. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑.คราวเจ็บไข้
๒.สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓.ไปสู่ฝั่งแม่น้า
๔.วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕.ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖.ได้กรานกฐิน ฯ
๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๒. ได้กรานกฐิน ฯ
๔. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสาหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะ
ของสงฆ์ ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าทาเปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน ?
มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร ?
๕. คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทาให้ ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง เป็นที่ตาหนิของบัณฑิตทั้งหลาย ฯ
๖. ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๖. ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๗. อเนสนา คืออะไร ? ภิกษุทาอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๗. คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์และ ทุกกฏ ฯ
๘. ความรู้ในการทาเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ?
๘. เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทาให้เขาสงสัยว่าลวง ทาให้เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียน  เป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ
๙. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ?
๙. คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกาหนด
ด้วยสงฆ์เท่าไร ? และกาหนดเขตอย่างไร ?
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กาหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จาพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่มหรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ และให้กาหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม กาหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และกาหนดให้ทาภายในเขตสีมา ถ้าต่ากว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัย นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๘

. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
. ต้องอาบัติถุลลัจจัย และ ทุกกฏ ฯ
. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ?
. ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
. ภิกษุไม่ต้องนาผ้าไตรจีวรไปครบสารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง ?
. ใน ๒ กรณี คือ
. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
.คราวเจ็บไข้
.สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
.ไปสู่ฝั่งแม่น้า
.วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
.ได้รับอานิสงส์พรรษา
.ได้กรานกฐิน ฯ
. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
. ได้รับอานิสงส์พรรษา
. ได้กรานกฐิน ฯ
. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสาหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะ
ของสงฆ์ ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
. ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าทาเปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน ?
มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร ?
๕. คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทาให้
ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง
เป็นที่ตาหนิของบัณฑิตทั้งหลาย ฯ
๖. ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๖. ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๗. อเนสนา คืออะไร ? ภิกษุทาอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๗. คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์
และ ทุกกฏ ฯ
๘. ความรู้ในการทาเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ?
๘. เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทาให้เขา
สงสัยว่าลวง ทาให้เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียน
เป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ
๙. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ?
๙. คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกาหนด
ด้วยสงฆ์เท่าไร ? และกาหนดเขตอย่างไร ?
๑๐. การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กาหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็น
ธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่าน ห้ามไม่ให้จาพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม หรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ และให้กาหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯ  ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม กาหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และกาหนดให้ทาภายในเขตสีมา ถ้าต่ากว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะ  ถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ

6 ความคิดเห็น:

  1. สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ตอบลบ
  2. ครับ สาธุอนุโมทามิ

    ตอบลบ
  3. 🙏สาธุๆๆ วันพรุ่งนี้ขอให้หนูสอบผ่านด้วยนะคะ🤗

    ตอบลบ
  4. ทำไงว่ะ คนยิ่งโง่เอามาสอบธรรมมะ

    ตอบลบ
  5. สอบผ่านไปไม่ผ่านไม่เป็นไร..ข้อแค่มีความรู้และเข้าใจหลักธรรมที่แท้จริงพอ..ครับผม

    ตอบลบ