เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
ตอบ
พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือ ศึกษาในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึงต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป
และ ผู้กาลังสอบธรรมอยู่นี้ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น.
๒.
มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
ตอบ
มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ ได้แก่ ธาตุ๔ มีปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
และ อุปาทายรูป คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น
๓.
ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ณาณ ๓
ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ
ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มี
๑.
สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒.
กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
๓.
กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว
มีอธิบายอย่างนี้คือ
๑.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจญาณ
๓.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้งๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ
๔.
อาสวขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไรบ้าง ?
ตอบ
อสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างนี้ คือ รู้ชัดตามจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ
นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้ จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ
ภวาสวะ อวิชชาสวะ
๕.
กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?
ตอบ
ได้ชื่อว่า โอฆะะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์
ได้ชื่อว่า
โยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่า
อาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมมอยู่ในสันดาน 2
๖.
จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร
?
ตอบ
จริต ๖ มี ๑. ราคจริต ๒. โทสะจรติ ๓. โมหจริต ๔. วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖.
พุทธิจริต
คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิน
หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน
๗.
พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ
?
ตอบ
พระพุทธคุณ ๙ บท คือ อรห ,
สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโรปุริสทมฺมสารถิ,
สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ, ภควา.
๕
บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ และ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ.
๘.
คาว่า พระสงฆ์ ในบทสัฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู
ตอบ
ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ จาพวก
ซึ่งล้วนแต่ท่านที่ตั้งอยู่ในมรรคผลทั้งสิ้น คือ
พระโสดาปัตติมรรค
พระโสดาปัตติผล คู่ ๑
พระสกทาคามิมรรค
พระสกทาคามิผล คู่ ๑
พระอนาคามิมรรค
พระอนาคามิผล คู่ ๑
พระอรหัตมรรค
พระอรหัตผล คู่ ๑
๙.
สังโยชน์ คืออะไร ?
พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง ?
ตอบ
สังโยชน์ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ และพระโสดาบันละสังโยชน์ได้ ๓
อย่างเบื้องต้นได้ขาด คือ ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา ๓. สีลัพพตปรามาส
๑๐.
ธุดงค์ ได้แก่อะไร ?
การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
ตอบ
ธุดงค์ ได้แก่ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง
เป็นอุบายขัดเกลากิเลสและเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ
ส่วนการฉันมือเดียวจัดเข้าใน เอกาสนิกังคะ คือถือนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร.
เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิภาค
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๒ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร ? ชื่อว่าพระอเสขะ
เพราะอะไร ?
ตอบ
พระเสขะผู้ยังต้องศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓.
อธิปัญญาสิกขา และที่ชื่อพระอเสขะเพราะเสร็จกิจอันจะต้องทาแล้ว.
๒.
ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จงอธิบาย ?
ตอบ
ความเห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่าคนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป
หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น
ส่วนเห็นว่าขาดสูญ
คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป
หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง มติทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง
๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้งโดยเห็นว่า
คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย.
๓.
ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง ?
ตอบ
ปาพจน์ได้แก่ พระธรรม และ พระวินัย และถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร ๑
พระอภิธรรม ๑
๔.
พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้น เพราะเหตุไร ?
ตอบ
พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ว่ามีลักษณะเหมือนไฟ เพราะเมื่อกิเลสทั้ง
๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล
จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ
๕.
กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง
จงอธิบาย ?
ตอบ
กรรม คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม
อภิชฌา
คือความอยากได้ เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ.
๖.
วิโมกข์ คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ?
ตอบ
วิโมกข์ คือ ความพ้นจากกิเลส มี ๓ อย่าง คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์
๗.
พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง
?
ตอบ
พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้
๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
๘.
โยนิ คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ? เทวดาและสัตว์นรก
จัดอยู่ในโยนิไหน ?
ตอบ
โยนิ คือ กาเนิด มี ๔ อย่าง คือ
๑.
ชลาพุชะ เกิดในครรภ์
๒.
อัณฑชะ เกิดในไข่
๓.
สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล
๔.
โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น
เทวดาและสัตว์นรกจัดอยู่ใน
โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นเอง
๙.
เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร
?
ตอบ
เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส
ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา และจัดกลุ่มเทียบได้ดังนี้
ในเวทนา
๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา
๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์
และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา
๓ เฉยๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง.
๑๐.
ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
อุปัตถัมภกกรรม ทาหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
ส่วนอุปปีฬกกรรม
ทาหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม
เก็งข้อสอบวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
อนุพุทธบุคคลคือบุคคลพวกไหน ? ได้ชื่อว่าอย่างนั้นเพราะเหตุไ
?
ตอบ
อนุพุทธบุคคล คือบุคคลผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า.
๒.
พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสาคัญอย่างไร ?
ตอบ
พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธ มีความสาคัญ คือ
พระสาวกสงฆ์จัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน
ถ้าไม่มีพระสาวกสงฆ์เป็นผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สาเร็จประโยชน์
และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกาลังใหญ่ของพระศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก.
๓.
พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร
จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบาเพ็ญทุกรกิริยา ?
ตอบ
พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจ
เพราะได้เคยร่วมทานายพระลักษณะของพระมหาบุรุษโดยเชื่อมั่นว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงตามอุปัฏฐากด้วยหวังว่า เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนาโปรด.
๔.
ภิกษุผู้รู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนิว่า โตเพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะบวชนาน ?
ตอบ
ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ
ย่อมอาจจัดอาจทาให้สาเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนาผู้อื่น
เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจผู้รักษาคลังพัสดุ
๕.
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นครั้งแรก ? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ?
ตอบ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก
และอนุปุพพีกถานั้นกล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย
พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่ ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล
พรรณนาโทษแห่งกาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกจากไปจากกาม.
๖.
พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหันต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ละสติไปในกาย
คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์” สงเคาระห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง ?
ตอบ
พระมหากัสสปะอุปสมบทแล้วนานถึง ๘ วันถึงบรรลุพระอรหันต์ และพระโอวาทที่ว่า
เราจะไม่ละสติไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าใน กายคตาสติ และ
วิปัสสนาญาณ เป็นต้น
๗.
พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน? พระสูตรนั้นชื่ออะไร
?
ตอบ
พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่าคือ พระมหากัจจายนะ แสดงแก่พระเจ้ามธุรราช
อวันตีบุตร แสดงที่คุนธาวัน แขวงเมืองธุรราชธานี พระสูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร
๘.
คาถาว่า “ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ?
ตอบ
พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ
พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า
ถอนความตามเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด
ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล
มัจจุราชจึงไม่แลเห็น.
เก็งข้อสอบในศาสนพิธี
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น
มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
ตอบ
วันเทโวโรหณะ คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจาพรรษาในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
วันพระเจ้าเปิดโลก ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑
เนื่องด้วยวันนั้นมีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
จนเป็นประเพณีทาบุญตักบาตรที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้.
๒.
บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น ว่าอย่างไร
?
ตอบ
บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน
โดยเฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทาเมื่อป่วยหนัก เป็นการกาหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง
คาถาที่ใช้บังสุกุลว่า
อจิร วตย กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ, ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถ ว
กลิงฺคร .
๓.
คาว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทาบุญฉลองอัฐิจัดเข้าในอย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ?
ตอบ
เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงานมงคล และสวดพระพุทธมนต์ใช้ในงานอวมงคล
การทาบุญฉลองอัฏฐิจัดเข้าในการเจริญพระพุทธมนต์
แต่ไม่ต้องตั้งขั้นน้ามนต์และสายสิญจน์.
๔.
งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ?
ตอบ
งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญที่คณะญาติของผู้กาลังป่วยหนักจัดขึ้น
เพื่อให้ผู้ป่วยหายป่วย และให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสบาเพ็ญกุศลในบั้นปลายชีวิตของตน
หรือเป็นความประสงค์ของผู้จะทาบุญต่ออายุตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
๕.
สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนาคืออนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปเป็นปกติ
ไม่ว่างานใดก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้น
ส่วนวิเสสอนุโมทนาด้วยบทสวดมนต์สาหรับอนุโมทนาเป็นพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล
และเฉพาะเรื่อง.
๖.
เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องอะไร ? มีกี่กัณฑ์ ? จบเทศน์มหาชาติแล้ว นิยมเทศน์ต่อด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ
เทศน์มหาชาติ คือการเทศน์เรื่องเวสสันดรชาดก มี ๑๓ กัณฑ์ เรื่อง จตุราริยสัจจกถา
๗.
ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
แตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้ ๓ ประเภท คือ สังฆอุโบสถ ปาริสุทธิอุโบสถ
อธิษฐานอุโบสถ มีความแตกต่างกันดังนี้.
๑.
สังฆอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปประชุมสวดพระปาฏิโมกข์
๒.
ปาริสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า ๔ รูป มีเพียง ๓ รูป หรือ ๒ รูป
ร่วมกันทาเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน
๓.
อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทาเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง.
๘.
ศาสนพิธี คืออะไร ?
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ
ศาสนพิธีคือ พิธีทางศาสนา การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจมีประโยชน์ คือ
ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒.
ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓.
ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี
๙.
การทาวัตร คืออะไร ?
ทาวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ?
ตอบ
การทาวัตร คือ การทากิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา
เป็นการทากิจที่ต้องทาประจาจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า ทาวัตร
ความมุ่งหมายของการทาวัตรสวดมนต์นี้
บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทา
เมื่อทาประจาวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔
ชั่วโมง.
๑๐.
ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะรักษาเพียงศีล ๕
เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ
พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓
ซึ่งพระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุมิจฺฉาจารา...
และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป.
เก็งข้อสอบในศาสนพิธี
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๒ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
ศาสนพิธี คืออะไร ?
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ
ศาสนพิธี คือ พิธีทางศาสนา
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ
มีประโยชน์ คือ
๑.
ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒.
ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓.
ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี
๒.
การทาวัตร และ การสวดมนต์ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
การทาวัตร และ การสวดมนต์ ต่างกันอย่างนี้ คือ
การทาวัตร
คือการทากิจวัตรที่ต้องทาประจา วันละ ๒ เวลา คือ เช้า-เย็น จนเป็นวัตรปฏิบัติ
มีการสวดบูชาพระรัตนตรัย และสวดพิจารณาปัจจัยที่บริโภคเป็นต้น
การสวดมนต์
คือ การสวดพระพุทธมนต์ต่างๆ นอกเหนือจากบทสวดทาวัตร ที่เป็นส่วนพระสูตรก็มี
ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี
ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยมกาหนดให้นามาสวดประกอบในการสวดมนต์ก็มี.
๓.
กุศลพิธี และบุญพิธี คือพิธีเช่นไร ?
ตอบ
กุศลพิธี และ บุญพิธี คือพิธีดังต่อไปนี้
กุศลพิธี
คือพิธีกรรมต่างๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนาเฉพาะตัวบุคล เช่น
พิธีรักษาอุโบสถศีล เป็นต้น บุญพิธี คือพิธีการบุญงานมงคลและงานอวมงคล.
๔.
วันเทโวโรหณะ คือ วันอะไร ? มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันอะไร
?
ตอบ
วันเทโวโรหณะ คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จลงจากเทวโลก
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
วันพระเจ้าเปิดโลก
๕.
ผ้าป่า และ ผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การทอดผ้าป่ากาหนดกาลเวลาทอดไว้หรือไม่
?
ตอบ
ผ้าป่า และผ้าอัจเจกจีวร ได้แก่ผ้าเช่นนี้
ผ้าป่า
หมายถึงผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง ตามป่าช้าบ้าง
ตามถนนหนทางและห้อยย้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง
ผ้าอัจเจกจีวร
หมายถึงผ้าจานาพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกาหนดกาล คือถวายก่อนออกพรรษาเป็นต้นฯ
ส่วนการทอดผ้าป่านั้น ไม่มีกาหนดกาลเวลา มีศรัทธาเมื่อไร่ก็ถวายได้.
๖.
มูลเหตุการณ์ถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ? ใครเป็นผู้ถวายคนแรก ?
ตอบ
มูลเหตุการณ์ถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น ดังนี้
การถวายผ้าวัสสิกสาฎก
มีมูลมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก
ภิกษุทั้งหลายจึงเปลือกกายอาบน้า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว
เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ
จึงทูลขอพระพุทธานุญาตเพื่อถวายผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ถวายคนแรก
ก็คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา
๗.
วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ
นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
ตอบ
นิยมใช้สวดเมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฏี เป็นต้น
๘.
บท อทาสิ เม อกาสิ เม.... และบท อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา... ใช้ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
ต่างกันอย่างนี้คือ
อทาสิ
เม อกาสิ เม ... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
อยญฺจ
โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ
๙.
ในงานมงคลที่ทากันอย่างสามัญทั่วไป นิยมเจริญพระพุทธมนต์ด้วย
บทสวดมนต์ที่รวมเรียกสั้นๆ ว่าอะไร ? และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีก
เรียกว่าอะไร ?
ตอบ
เรียกว่า เจ็ดตานานฯ
และต้องมีบทอื่นมาประกอบอีกเรียกว่า
ต้นสวดมนต์หรือต้นตานาน และท้ายสวดมนต์.
๑๐.
จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้
ก.
ปาฏิปุคคลิกทาน ข. เภสัชทาน ค. สลากภัตต์ ง. ผ้าวัสสิกสาฎก จ. ผ้าอัจเจกจีวร
ตอบ
มีความหมายดังต่อไปนี้
ก.
ปาฏิปุคคลิกทาน คือทานที่ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนี้
ข.
เถสัชทาน คือการถวายเภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น นาผึ้ง น้าอ้อย
ค.
สลากภัตต์ คือภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก
ง.
ผ้าวัสสิกสาฏก คือผ้าที่อธิษฐานสาหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้า หรืออาบน้าทั่วไป
จ.
ผ้าอัจเจกจีวร คือผ้าจานาพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนกาหนด.
เก็งข้อสอบวิชาวินัยมุข
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๑ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
ภิกษุผู้ประพฤติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม
จะต้องปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ
จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย
จนเป็นเหตุทาตนให้ลาบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อันขัดต่อกาลเทศะ
และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุจนถึงทาตนให้เป็นคนเลวทราม.
๒.
อาทิพรมจริยาสิกขา และ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
ต่างกันอย่างนี้คือ
อาทิพรหมจริยาสิกขา
ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
อันได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา
เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์
เป็นข้อบังคับโดยตรงที่ภิกษุจะต้องระพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด ส่วน
อภิสมาจาริกาสิกขา
ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วย อภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติหรืออนุญาตไว้
อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรประพฤติ.
๓.
วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทาวินัยกรรมนั้น มีจากัดบุคคลและสถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ
ต่างกันอย่างนี้ วินัยกรรม กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทาตามพระวินัย
เช่น พินทุ อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น ส่วนกรรมที่ภิกษุครบองค์เป็นสงฆ์
มีจานวนอย่างต่าตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทา เช่น อปโลกนกรรม เป็นต้น
จากัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑.
แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒.
อธิษฐาน ต้องทาเอง
๓.
วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี
รูปใดรูปหนึ่ง
๔.
ห้ามไม่ให้ทาในที่มืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น.
๔.
เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัยจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ
?
ตอบ
เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัยจัย
เปลือยกายทากิจแก่กัน
เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ให้ของ รับของ และ
เปลือยกายในเวลาฉัน
ในเวลาดื่ม ต้องอาบัติทุกกฎ
๕.
การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทาการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร
?
ตอบ
การประณาม หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ
และมีพระพุทธานุญาตให้ประณามผู้ประพฤติดังนี้
๑.
หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒.
หาความเลื่อมใสมิได้
๓.
หาความเคารพมิได้
๔.
หาความหวังดีต่อมิได้
๖.
ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้นทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
ตอบ
ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้นทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด คือ
๑.
โขมะ ผ้าทาด้วยเปลือกไม้
๒.
กัปปาสิกะ ผ้าทาด้วยฝ้าย
๓.
โกเสยยะ ผ้าทาด้วยใยไหม
๔.
กัมพละ ผ้าทาด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕.
สาณะ ผ้าทาด้วยเปลือกป่าน
๖.
ภังคะ ผ้าที่ทาด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่ละอย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน
๗.
สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ
จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ
สภาคาบัติ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องอาบัติเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน
เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ
ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับอาบัติของกัน
ให้แสดงในสานักของภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด
ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสานักของภิกษุนั้น.
๘.
กาลิก คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ? กาลิกระคนกันมีกาหนดอายุไว้อย่างไร
? จงยกตัวอย่าง
ตอบ
กาลิก คือ ของที่พึงกลืนให้ล่วงลาคอลงไป มี ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก
และยาวชีวิก กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น
เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จากัดอายุคลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกาหนดอายุไว้
๗ วัน ดังนี้ ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์
๙.
ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐานด้วยวาจาต่างกันอย่างไร
?
ตอบ
ผ้าบริขารโจล ได้แก่ ผ้าที่มิใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่น ผ้ากรอกน้า ถุงบาตร
ย่าม
การอธิษฐานด้วยกาย
คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้วทาความผูกใจตามอธิฐานนั้นๆ
ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือการเปล่งคาอธิษฐานนั้นๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้.
๑๐.
คาว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?
ตอบ
อันโตวุฏฐะ หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน
อันโตปักกะ
หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน)
สามปักกะ
หมายถึง ยาวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง.
เก็งข้อสอบวิชาวินัยมุข
นักธรรมชั้นโท
ตอนที่
๒ สาหรับสอบธรรมสนามหลวง (แบบตอบทวนคาถาม)
๑.
สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอะไร ? ทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร
?
ตอบ
สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่า อภิสมาจาร
ทรงบัญญัติไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของภิกษุ และเพื่อความงามของพระศาสนา
เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่
จาต้องมีขนบธรรมเนียมและระเบียบไว้รักษาเกียรติและความเป็นผู้ดีของตระกูล
๒.
ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ
ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้ ๕ ประการคือ
๑.
อุปัชฌายืหลีกไปเสีย
๒.
สึกเสีย
๓.
ตายเสีย
๔.
ไปเข้ารีตเดียรถีย์
๕.
สั่งบังคับ
๓.
ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คาขอนิสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ?
ตอบ
ตามนัยแห่งอรรถกถาอาจารย์ ๔ ประเภท คือ
๑.
ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒.
อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓.
นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔.
อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม
คาขอนิสัยอาจารย์ว่า
อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ
๔.
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ
วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ
มี ๓ คือ
๑.
กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒.
จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓.
วิธีวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง
๕.
บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทาอุโบสถต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
บุพพกรณ์ คือ กรณียะอันจะพึงกระทาให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์
ส่วนบุพพกิจเป็นธุระอันจะพึงทาก่อนการสวดปาติโมกข์
๖.
ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป ๒ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป
เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ
เมื่อถึงวันอุโบสถต้องปฏิบัติอย่างนี้
๔
รูปพึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์
๓
รูปพึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้
ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญัตติ
จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒
รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑
รูป พึงอธิษฐาน
๗.
อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน อนาจาร
ปาปสมาจาร อเนสนา ?
ตอบ
อุปปถกิริยา คือการทานอกรีตนอกรอยของสมณะ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
และเล่นมีประการต่างๆ จัดเข้าในอนาจาร
ความประพฤติเลวทราม
จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควรจัดเข้าในอเนสนา
๘.
ภิกษุอยู่จาพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ
ภิกษุอยู่จาพรรษาย่อมได้อานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑.
เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค
๒.
เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนาไตรจีวรไปครบสารับ
๓.
ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔.
เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕.
จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ
๙.
ลหุภัณฑ์ และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้ และไม่ได้ ?
ตอบ
ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สาหรับตัว คือ บาตร จีวร ประคดเอว
เข็ม มีดพับ มีดโกณ เป็นของที่แจกกันได้ ส่วน ครุภัณฑ์ คือของหนัก
ไม่ใช่ของสาหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน เป็นเครื่องใช้ในเสนาสนะ
หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน เป็นของที่แจกกันไม่ได้
๑๐.
ภิกษุจะฉันสิ่งใดๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้าง
ที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉันได้ ?
ตอบ
มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวัฏ ๔ คือ มูตร คูถ เถ้า
และดินได้
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ที่
๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
โย
จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ
ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน.
ผู้ใดมีปัญญาทราม
มีใจไม่มัน่ คง พึงเป็นอยู่ตั้ง ร้อยปี ส่วนผูมี้ปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียง
วันเดียว ดีกว่า.
(พุทฺธ) ขุ.
ธ. ๒๕/๒๙.
----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาวิชาธรรม
นักธรรมชัน้ โท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ที่
๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
๑.
ตจปัญจกกัมมัฏฐาน มีอะไรบา้ ง ? เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร ?
เป็นอารมณ์ของสมถกัมมฏั
ฐานหรือของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๒.
สังขตธรรม และ อสังขตธรรม ต่างกันอย่างไร ? สัตว์ ตน้ ไม้ ภูเขา
เป็นสังขตธรรม
เพราะมีลกั
ษณะอย่างไร ?
๓.
มหาภูตรูป คืออะไร ?
มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร ?
๔.
กิเลส กรรม วิบาก ไดชื้่อว่า วัฏฏะ เพราะเหตุไร ? จะตัดใหข้
าดไดด้ ว้ ยอะไร ?
๕.
กตญาณ เป็นไปในอริยสัจ ๔ อย่างไร ?
๖.
ความรูสึ้กเฉยๆ ทางกาย กับความรูสึ้กเฉยๆ ทางใจ จัดเขา้ ในเวทนา ๕ อย่างไร ?
๗.
กิเลส ชื่อว่าโอฆะ โยคะ และอาสวะ เพราะเหตุไร ?
๘.
การแผ่เมตตาในพรหมวิหาร กับในอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ?
๙.
ผูบ้ ริจาคทานระดับใดจัดเป็นทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี ?
๑๐.
บุคคลผูไ ดรั้บการยกย่องว่าเป็นพหุสุต เพราะประกอบดว้ ยคุณสมบัติอะไรบา้ ง ?
ปัญหาวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชัน้
โท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช
๒๕๕๗
๑.
พระสาวกที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาครงั้ แรก มีจา นวนเท่าไร ?
ประกอบดว้
ยใครบา้ ง ?
๒.
พระอัสสชิไดแ้ สดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชก มีใจความย่อว่าอย่างไร ?
๓.
อุบาสกผูป้ ระกาศตนถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ ว่าเป็นสรณะคนแรก คือใคร ?
๔.
สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือใคร ? ไดบ้ รรลุพระอรหัตเพราะฟังธรรมจากใคร
?
๕.
การที่เจา้ ศากยะทูลขอใหพ้ ระอุบาลีผูเ้ป็นช่างกัลบกบวชก่อน เพราะเหตุไร ?
๖.
ภิกษุ ภิกษุณี ผูเ้อตทัคคะในทางเป็นพระธรรมกถึก คือใคร ?
๗.
พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษแห่งความเพียรที่ตึงเกินไปและหย่อนเกินไปแก่
พระโสณโกฬิวิสะว่าอย่างไร
?
๘.
มาณพทงั้ ๑๖ คนผูทู้ลถามโสฬสปัญหากะพระพุทธองค์ เป็นศิษย์ของใคร ?
ท่านตงั้
สา นักอยู่ที่ไหน ?
ศาสนพิธี
๙.
จงเขียนคาถาที่ใชใ้ นการบังสุกุลเป็น และบังสุกุลตาย มาดู
๑๐.
วันธรรมสวนะ คือวันอะไร ?
ทรงอนุญาตใหมี้ในวันใดบา้ ง ?
ปัญหาวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๑๑
พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๗
๑. พระวินัยแบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๒. การผัดหน้า ไล้หน้า ทาหน้า ทรงห้ามและทรงอนุญาตไว้ในกรณีใด ?
๓. ภิกษุเปลือยกายในกรณีต่อไปนี้ ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ก. เปลือยเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์ ข. เปลือยทากิจแก่กัน เช่นไหว้
รับไหว้
ค. เปลือยในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม ง. เปลือยในเรือนไฟ จ. เปลือยในน้า
๔. บาตรที่ทรงอนุญาตให้ใช้มีกี่ชนิด และกี่ขนาด ?
อะไรบ้าง ?
๕. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้
ก. อุปสัมปทาจารย์ ข. อุทเทสาจารย์
ค. สัทธิวิหาริก ง. อันเตวาสิก จ. นิสสัยมุตตกะ
๖. สัตตาหกรณียะ คืออะไร ? มีวิธีปฏิบัติอย่างไร
?
๗. ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเพราะเหตุฉุกเฉิน ๑๐ อย่าง จงบอกมาสัก
๕ อย่าง
๘. กาลิก ๔ ได้แก่อะไรบ้าง ? โภชนะ ๕
เภสัช ๕ จัดเป็นกาลิกอะไร ?
๙. ลักษณะถือวิสาสะที่มาในพระบาลีมีอะไรบ้าง ?
๑๐. ภิกษุจะเปลี่ยนไตรครอง พึงปฏิบัติตามลาดับอย่างไรบ้าง ?
กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่
๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
มธุวา มญฺญตี พาโล
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ,
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ
อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ.
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล
คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน,
แต่บาปให้ผลเมื่อใด
คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.
(พุทฺธ)
ขุ.ธ. ๒๕/๒๔.
----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๐
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. ทิฏฐิ ที่หมายถึงความเห็นผิด ๒ อย่าง มีอะไรบ้าง ?
๑. มี
๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ ฯ
๒. กุศลวิตก มีอะไรบ้าง ? สงเคราะห์เข้าในมรรคมีองค์ ๘ ข้อไหนได้
?
๒. มี
๑. เนกขัมมวิตก ความตริในทางพรากจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตริในทางไม่พยาบาท
๓. อวิหิงสาวิตก ความตริในทางไม่เบียดเบียน ฯ
สงเคราะห์เข้าในข้อ
สัมมาสังกัปปะ ฯ
๓. การฆ่าสัตว์ อย่างไรเกิดทางกายทวาร อย่างไรเกิดทางวจีทวาร ?
๓. ฆ่าด้วยตนเองเกิดทางกายทวาร
ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเกิดทางวจีทวาร
ฯ
๔. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสมุทยสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายว่า
๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัยเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดจริง จัดเป็นสัจญาณ
๒. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ควรละ จัดเป็นกิจญาณ
๓. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสมุทัย ละได้แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ ๕.
ในพระพุทธศาสนาพูดเรื่องมารไว้มาก อยากทราบว่า คาว่า มาร หมายถึงอะไร
? กิเลสได้ชื่อว่ามารเพราะเหตุไร ?
๕. หมายถึงสิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้
ทาความดี
จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ เพราะผู้ที่ตกอยู่ในอานาจของกิเลสแล้ว
ย่อมจะถูกผูกมัดไว้บ้าง ถูกทาให้
เสียคนบ้าง
ฯ
๖. คาว่า พระธรรม ในธรรมคุณบทว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว”
หมายถึงอะไร ?
๖. หมายถึง ปริยัติธรรม กับ ปฏิเวธธรรม (หรือโดยพิสดารได้แก่
สัทธรรม ๑๐ คือ โลกุตรธรรม ๙ กับปริยัติธรรม ๑) ฯ
๗. ทักขิณาวิสุทธิ มีอะไรบ้าง ? อย่างไหนให้อานิสงส์มากที่สุด
?
๗. ทักขิณาบางอย่าง บริสุทธ์ฝ่ายทายก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง
บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธ์ฝ่ายทายก
ทักขิณาบางอย่าง
ไม่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก
ทักขิณาบางอย่าง
บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
อย่างที่
๔ คือ ทักขิณาที่บริสุทธ์ทั้งฝ่ายทายก ทั้งฝ่ายปฏิคาหก ฯ
๘. อนุสัย หมายถึงกิเลสประเภทไหน ? ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะเหตุไร
?
๘. หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ฯ
เพราะกิเลสชนิดนี้
บางทีไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีอารมณ์มายั่ว ย่อมเกิดขึ้น
ในทันใด
ฯ
๙. พุทธคุณ ๒ ก็มี พุทธคุณ ๓ ก็มี พุทธคุณ ๙ ก็มี จงแจกแจงแต่ละอย่างว่ามีอะไรบ้าง
?
๙. พุทธคุณ ๒ คือ อัตตสมบัติ และ ปรหิตปฏิบัติ
พุทธคุณ
๓ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
พุทธคุณ
๙ คือ อรห ,
สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต,โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ,
ภควา ฯ
๑๐.
ธุดงค์ คืออะไร ?
มีกี่หมวด ? หมวดไหนว่าด้วยเรื่องอะไร ?
๑๐.
คือ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เปน็ อุบายขัดเกลากิเลส และเปน็ ไปเพื่อความ
มักน้อยสันโดษ
ฯ
มี
๔ หมวด ฯ ดังนี้
หมวดที่
๑ ว่าด้วยเรื่องจีวร
หมวดที่
๒ ว่าด้วยเรื่องบิณฑบาต
หมวดที่
๓ ว่าด้วยเรื่องเสนาสนะ
หมวดที่
๔ ว่าด้วยเรื่องความเพียร ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๒๒
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑. อภิสมาจาร คืออะไร ? เป็นเหตุให้ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง
?
๑. คือ ขนบธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ
ฯ
๒. ข้อว่า อย่าพึงนุ่งห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์ นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๒. มีอธิบายว่า ห้ามนุ่งห่มเครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ เช่น กางเกง เสื้อผ้าโพก
หมวก ผ้านุ่งผ้าห่มสีต่าง ๆ ชนิดต่าง ๆ และห้ามอาการนุ่งห่มต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ของภิกษุ
ฯ
๓. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ? ที่จัดเป็นบริขารบริโภคและบริขารอุปโภคมีอะไรบ้าง
?
๓. มี ไตรจีวร คือผ้านุ่งผ้าห่มและผ้าทาบ บาตร ประคดเอว เข็ม มีดโกน
และผ้ากรองน้า
ฯ
ไตรจีวร
บาตร ประคดเอว รวม ๕ อย่าง จัดเป็นบริขารบริโภคเข็ม มีดโกน และผ้ากรองน้า จัดเป็นบริขารอุปโภค
ฯ
๔. คาว่า ถือนิสัย หมายความว่าอย่างไร ? ภิกษุผู้เป็นนวกะจะต้องถือนิสัยเสมอไปหรือไม่ประการไร
?
๔. หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้
ยอมตนให้ท่านปกครอง พึ่งพิงพานักอาศัยท่าน ฯ
ต้องถือนิสัยเสมอไป
แต่มีข้อยกเว้น ภิกษุผู้ยังไม่ตั้งลงเป็นหลักแหล่ง คือภิกษุเดินทาง ภิกษุผู้เป็นไข้
ภิกษุผู้พยาบาลผู้ได้รับขอของคนไข้เพื่อให้อยู่ภิกษุผู้เข้าป่าเพื่อเจริญสมณธรรมชั่วคราว
และกรณีที่ในที่ใด หาท่านผู้ให้นิสัยมิได้ และมีเหตุขัดข้องที่จะไปอยู่ในที่อื่นไม่ได้
จะอยู่ในที่นั้นด้วยผูกใจว่าเมื่อใดมีท่านผู้ให้นิสัยได้มาอยู่ จักถือนิสัยในท่าน ก็ใช้ได้
ฯ
๕.
ภิกษุเมื่อจะนั่งลงบนอาสนะ ทรงให้ปฏิบัติอย่างไรก่อน ? ที่ทรงให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕.
ทรงให้พิจารณาก่อน อย่าผลุนผลันนั่งลงไป ฯ
เพื่อว่าถ้ามีของอะไรวางอยู่บนนั้น
จะทับหรือกระทบของนั้น ถ้าเป็นขันน้าก็จะหก เสียมารยาท พึงตรวจดูด้วยนัยน์ตา
หรือด้วยมือลูบก่อน ตามแต่จะรู้ได้ด้วยอย่างไร แล้วจึงค่อยนั่งลง ฯ
๖.
วันเข้าพรรษาในบาลีกล่าวไว้ ๒ วัน คือวันเข้าพรรษาต้น และวันเข้าพรรษาหลัง
ในแต่ละอย่างกาหนดวันไว้อย่างไร ?
๖.
วันเข้าพรรษาต้น กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง
คือวันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ วันเข้าพรรษาหลัง
กาหนดเมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะนั้น
ล่วงแล้วเดือน
๑ คือ วันแรม ๑ ค่า เดือน ๙ ฯ
๗.
ในวัดหนึ่ง มีภิกษุอยู่กัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป ๑ รูป
เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗.
มีภิกษุ ๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถ สวดปาติโมกข์
มีภิกษุ
๓ รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ
รูปหนึ่งสวดประกาศญัตติจบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
มีภิกษุ
๒ รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
มีภิกษุ
๑ รูป พึงอธิษฐานหรือมีภิกษุต่ากว่า ๔ รูป จะไปทาสังฆอุโบสถกับสงฆ์ในอาวาสอื่น
ก็ควร ฯ
๘.
ภิกษุได้ชื่อว่าผู้ประทุษร้ายสกุล กับภิกษุได้ชื่อว่าผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส
เพราะมีความประพฤติต่างกันอย่างไร ?
๘.
ต่างกันอย่างนี้ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล เป็นผู้ประพฤติให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส
ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของกานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทา
ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ส่วนภิกษุผู้ยังสกุลให้เลื่อมใส
เป็นผู้ถึง พร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกลุ
โดยฐานเป็นคนเลวไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขา
เลื่อมใสนับถือตน
ฯ
๙.
ก่อนหน้าปรินิพพาน
ตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายให้แสดงความเคารพด้วยการเรียกกันว่าอย่างไร ?
๙.
ตรัสให้ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าเรียกผู้แก่พรรษากว่าว่า ภันเต
และให้ภิกษุผู้แก่พรรษากว่าเรียกผู้อ่อนพรรษากว่าว่า อาวุโส ฯ
๑๐.
อนามัฏฐบิณฑบาต ได้แก่โภชนะเช่นไร ? มีข้อห้ามตามพระวินัยไว้อย่างไร
?
๑๐.
ได้แก่โภชนะที่ภิกษุได้มายังไม่ได้หยิบไว้ฉัน ฯ
มีข้อห้ามไม่ให้ภิกษุให้แก่คฤหัสถ์อื่นนอกจากมารดาและบิดา
ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี
ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
๑.
อนุพุทธบุคคล คือใคร ? มีความสาคัญอย่างไร ?
๑.
คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
อนุพุทธบุคคลเป็นสังฆรัตนะในรัตนะ
๓ เป็นพยานยืนยันความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
และเป็นกาลังใหญ่ของพระพุทธเจ้าในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ฯ
๒.
พระศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดพวกปุราณชฎิลเพราะเหตุไร ?
๒.
เพราะเปน็ พระสตูรที่เหมาะแกบุ่รพจรรยาของพวกปุราณชฎิล ผู้อบรมมาในการบูชาเพลิง ฯ
๓.
พระสาวกรูปใดได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ? จงแสดงตัวอย่างมาสัก ๒ เรื่อง
๓.
พระสารีบุตรเถระ ฯ
เรื่องที่
๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ในทิศใด ก่อนจะนอน
ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น
เรื่องที่
๒ พระสารีบุตรระลึกถึงอุปการะของราธพราหมณ์ที่เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง ฯ
๔.
พระสาวกผู้บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะเพื่อน คือใคร ?
๔.
บวชเพราะเบื่อหน่าย คือ พระยสะ พระมหากัสสปะ ฯ บวชเพราะเพื่อน คือ พระภัททิยศากยะ
พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ และเพื่อนชาวชนบทอีก ๕๐ คน ฯ
(ตอบองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้
และตอบองค์อื่น ถ้าถูกก็ควรให้)
๕.
อุปสมบทวิธีพิเศษด้วยการรับพระโอวาท ๓ ข้อ และด้วยการรับครุธรรม ๘ ข้อ
ทรงประทานให้แก่ใคร ? และท่านนั้น ๆ ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางไหน
?
๕.
การรับพระโอวาท ๓ ข้อ ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะการรับครุธรรม ๘ ข้อ
ทรงประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ฯ
พระมหากัสสปะได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางทรงธุดงคคุณ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฯ
๖.
พระมหากัจจายนะได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
แทนพระองค์
ณ เมืองใด และได้ผลเป็นอย่างไร ?
๖.
ณ เมืองอุชเชนี ฯ
ได้รับผล
คือ พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ฯ
๗.
ปัญหาว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้จึงหลงอยู่ในที่มืด ดังนี้ ใครเป็นผู้ถาม
?
และพระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
๗.
อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ทรงพยากรณ์ว่า
โลกคือหมู่สัตว์ อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด ฯ
๘.
การทาสังคายนาก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไรบ้าง ?
๘.
ให้เกิดคุณประโยชน์อย่างนี้
กาจัดและป้องกันอลัชชีได้
ทาความเห็นพุทธศาสนิกให้ถูกต้องและปฏิบัติถูกต้องได้
และทาให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลายยิ่งขึ้น ฯ
ศาสนพิธี
๙.
ศาสนพิธีเล่ม ๒ แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
๙.
๓ ประเภท ฯ คือ สังฆอุโบสถ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ ฯ
๑๐.
จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ การเข้าพรรษา การออกพรรษา ฯ
๑๐.
การเข้าพรรษา หมายถึง การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลา ๓
เดือนในฤดูฝน
ไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างผูกใจนั้นเว้นแต่ไปด้วยสัตตาหกรณียะ
ฯ
การออกพรรษา
หมายถึง กาลที่สิ้นสุดกาหนดอยู่จาพรรษาของภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ
มีพิธีเป็นสังฆกรรมพิเศษโดยเฉพาะ เรียกโดยภาษา พระวินัยว่า ปวารณากรรม
คือการทาปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันตลอดเวลา ๓ เดือน ฯ
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่
๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส
โถกํโถกํปิ อาจินํ.
แม้หม้อน้ำยังเต็มม้้ยยัหยัำ้น้ำฉังนด้
คนตขลำสง่เสมบำป แม้ทีละน้อยั ๆ
กมต็มม้้ยยับำปฉังนนง้น.
(พุทฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๓๑.
----------------
แต่งอธิบายเปน็ ทานองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษติ อื่นมาประกอบไม่นอ้ ยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๕
๑.
กัมมัฏฐานที่พระอุปัชฌาย์สอนแก่ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทว่าเกสาโลมานขาทนฺตาตโจ ตโจ
ทนฺตานขาโลมาเกสานั้น เรียกชื่อว่าอะไร ? เป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน
?
๑. ชื่อว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน หรือ มูลกัมมัฏฐาน ฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
๒. แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ
แสวงหาอะไรเป็นการแสวงหาไม่ประเสริฐ ?
๒. ในพระสูตรแสดงว่า แสวงหาสภาพอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ คือ
คุณธรรมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง เป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ เรียกว่าอริยปริเยสนา
แสวงหาของมีชรา พยาธิ มรณะ เช่นหาของเล่น เป็นการแสวงหา ไม่ประเสริฐ
เรียกว่าอนริยปริเยสนา ฯ
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะ กับผู้มีธัมมาธิปเตยยะ มีความมุ่งหมายในการทางาน
ต่างกันอย่างไร ?
๓. ผู้มีอัตตาธิปเตยยะปรารภภาวะของตนเป็นใหญ่ ทาด้วยมุ่งให้สมภาวะ
ของตน ผู้ทามุ่งผลอันจะได้แก่ตน หรือมุ่งความสะดวกแห่งตน ส่วนผู้มีธัมมาธิปเตยยะ
ทาด้วยไม่มุ่งหมายอย่างอื่น เป็นแต่เห็นสมควร เห็นว่าถูกก็ทา
หรือทาด้วยอานาจเมตตากรุณาเป็นอาทิ ฯ
๔. ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขสัจ มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายว่า ๑. ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขสัจ จัดเป็นสัจจญาณ ๒.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกาหนดรู้ จัดเป็นกิจจญาณ ๓.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขสัจที่ควรกาหนดรู้ ได้กาหนดรู้แล้ว จัดเป็น กตญาณ ฯ
๕. อปัสเสนธรรม (ธรรมเป็นที่พิง) ข้อที่ ๒ ว่าพิจารณาแล้วอดกลั้นของ
อย่างหนึ่ง นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๕. มีอธิบายว่า อดกลั้นอารมณ์อันไม่เป็นที่เจริญใจ ต่างโดยหนาว ร้อน
หิว กระหาย ถ้อยคาเสียดแทง และทุกขเวทนาอันแรงกล้า ฯ
๖. อริยวงศ์ คืออะไร ? มีกี่อย่าง
? ข้อที่ ๔ ว่าอย่างไร ?
๖. คือ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ ฯ มี ๔อย่าง ฯ ข้อที่ ๔ว่า
ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล ฯ
๗. ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเหตุไร ?
๗. เพราะปัญจขันธ์นั้น บางทีทาความลาบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย
จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ
๘. สมาธิระดับไหน จึงจัดเป็นจิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ?
๘. สมาธิทั้งที่เป็นอุปจาระทั้งที่เป็นอัปปนา
โดยที่สุดขณิกสมาธิคือสมาธิชั่วขณะ พอเป็นรากฐานแห่งวิปัสสนา จัดเป็นจิตตวิสุทธิ ฯ
๙. สังฆคุณ ๙ มีอะไรบ้าง ? จะย่นให้เหลือเพียง
๒ ได้อย่างไร ?
๙. มี ๑. สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ๒. อุชุปฏิปนฺโน
เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ๓. ญายปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม ๔. สามีจิปฏิปนฺโน
เป็นผู้ปฏิบัติสมควร ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผู้ควรของคานับ ๖. ปาหุเนยฺโย
เป็นผู้ควรของต้อนรับ ๗. ทกฺขิเณยฺโย เป็นผู้ควรของทาบุญ ๘. อญฺชลิกรณีโย เป็นผู้ควรทาอัญชลี
[ประณมมือไหว้] ๙. อนุตฺตร ปุญฺญกฺเขตฺต โลกสฺส เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ฯ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๔ เป็นอัตตหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ตนเอง
ข้อ ๕ ถึงข้อ ๑๐ เป็นปรหิตคุณ คือคุณเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ฯ
๑๐. กรรมที่บุคคลทาไว้ ทาหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
๑๐. ทาหน้าที่ คือ ๑. แต่ง (วิบาก) ให้เกิด เรียกว่า ชนกกรรม ๒.
สนับสนุน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม ๓. บีบคั้น
(วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า อุปปีฬกกรรม ๔. ตัดรอน (วิบากของกรรมอื่น) เรียกว่า
อุปฆาตกกรรม ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๕
๑. ภิกษุแม้ล่วงละเมิดพระวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติ
ได้รับยกเว้นทุกสิกขาบท ได้แก่ภิกษุประเภทไหนบ้าง ?
๑. ได้แก่ ภิกษุบ้าคลั่งจนไม่มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุเพ้อจนไม่รู้สึกตัว
ภิกษุกระสับกระส่าย เพราะมีเวทนากล้าจนถึงไม่มีสติ ฯ
๒. สังฆกรรม ๓ อย่างนี้ คือ การสวดปาฏิโมกข์ อุปสมบทกรรม และ
อัพภาณกรรม มีจากัดจานวนสงฆ์อย่างน้อยเท่าไรจึงจะถูกต้องตาม พระวินัย ?
๒. การสวดปาฏิโมกข์ ต้องการสงฆ์จตุวรรค คือ ๔ รูปเป็นอย่างน้อย
อุปสมบทกรรมในปัจจันตประเทศ ต้องการสงฆ์ปัญจวรรค คือ ๕ รูป เป็นอย่างน้อย
อุปสมบทในมัธยมประเทศ ต้องการสงฆ์ทสวรรค คือ ๑๐ รูปเป็นอย่างน้อย อัพภาณกรรม
ต้องการสงฆ์วีสติวรรค คือ ๒๐ รูปเป็นอย่างน้อย ฯ
๓. จงให้ความหมายของคาต่อไปนี้ อุปัชฌายะ สัทธิวิหาริก นิสสัย
๓. อุปัชฌายะ เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้รับให้พึ่งพิง แปลว่าผู้ฝึกสอนหรือผู้ดูแล
สิทธิวิหาริก เป็นชื่อเรียกภิกษุผู้พึ่งพิง แปลว่าผู้อยู่ด้วย นิสสัย
เป็นชื่อเรียกกิริยาที่พึ่งพิง ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้รับเสนาสนะของสงฆ์ให้เป็นที่อยู่อาศัย
ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะ นั้นอย่างไร ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาดังนี้
๑. ไม่ทาให้เปรอะเปื้อน
๒. ชาระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชารุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้าฉัันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่งอย่านาไปใช้ที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕. คาว่าวัตถุเป็นอนามาส คืออะไร ?
ภิกษุจับต้องวัตถุเป็นอนามาสเป็น อาบัติอะไร ?
๕. คือ สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ฯ ภิกษุจับต้องมาตุคาม
เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย และทุกกฎ ตามประโยค
จับต้องบัณเฑาะก์ด้วยความกาหนัดเป็นอาบัติถุลลัจจัย
นอกนั้นเป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎทั้งหมด ฯ
๖. ภิกษุอยู่จาพรรษาครบ ๓ เดือนจนได้ปวารณาย่อมได้อานิสงส์แห่ง
การจาพรรษาอะไรบ้าง ?
๖. ได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค
ในปาจิตติยกัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ
๓. ฉัันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔. เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสเพื่อกรานกฐิน และรับอานิสงส์ ๕ นั้นเพิ่มออกไปอีก ๔
เดือน ตลอดเหมันตฤดู ฯ
๗. ปวารณามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ในอาวาสหนึ่งมีภิกษุจาพรรษา๓ รูป
เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗. มี ๓ อย่าง ฯ คือ สังฆปวารณา คณปวารณา และบุคคลปวารณา ฯ พึงทาคณปวารณา
ฯ
๘. องค์ที่เป็นลักษณะแห่งการถือวิสาสะ คืออะไรบ้าง ?
เห็นว่าข้อไหนสาคัญ ฯ
๘. คือ เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา ๑ เป็นผู้เคยคบกันมา ๑ ได้พูดกันไว้ ๑
ยังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้วเขาจักพอใจ ๑ ฯ
เห็นว่าข้อสุดท้ายสาคัญ ฯ
๙. ภิกษุได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร
เพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ?
๙.
เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร เว้นจากอโคจร
คือบุคคลและสถานที่ที่ไม่สมควรไป ฯ
๑๐. เภสัช ๕ มีอะไรบ้าง จัดเป็นกาลิกอะไร ?
๑๐. เนยใส เนยข้น น้ามัน น้าผึ้ง น้าอ้อย ฯ จัดเป็นสัตตาหกาลิก ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๕
๑.
การที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับ
อนุตตริยะอะไรบ้าง ?
๑. ได้อนุตตริยะ ๓ อย่าง คือ พระองค์ได้เฝ้า เป็นทัสสนานุตตริยะ
ได้ทรงสดับธรรม เป็นสวนานุตตริยะ ได้ธรรมจักษุเห็นธรรมนั้น เป็นลาภานุตตริยะ ฯ
๒. พระวาจาที่ตรัสให้อุปสมบทแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ และพระยสะ
เหมือนกันหรือต่างกัน ? เพราะเหตุไร ?
๒. เหมือนกันตรงที่ทรงรับเข้ามาสู่พรหมจรรย์ ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรม อันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
ต่างกันที่พระอัญญาโกณฑัญญะ มีพระพุทธดารัสต่อท้ายว่า “เพื่อทาที่สุด ทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านยังไม่บรรลุพระอรหัตต์
ส่วนพระยสะ ไม่มีคาว่า “เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ” เพราะท่านบรรลุ พระอรหัตต์แล้ว ฯ
๓. พระอัญญาโกณฑัญญะ กับพระอุรุเวลกัสสปะทูลขอบวชในพระศาสนาโดย
มีมูลเหตุความเป็นมาต่างกันอย่างไร ?
๓. ต่างกันอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม
ที่ท่านกล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน มีศรัทธาในพระศาสนามั่นคงแล้ว จึงขอบวช ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารไม่ได้ หลงถือตนว่า
เป็นผู้วิเศษ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ได้ความสลดใจจึง
ลอยบริขารชฎิลของตนเสียแล้วจึงขอบวช ฯ
๔. ชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่าอะไรบ้าง ?
ได้บรรลุพระอรหัตต์เพราะฟัง พระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๔. พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ ฯ
ฟังอาทิตตปริยายสูตร ฯ
๕. จงระบุชื่อพระสาวกผู้ที่บวชเพราะเหตุต่อไปนี้ ๑. บวชเพราะศรัทธา
๒. บวชเพราะจาใจ ๓. บวชเพราะหลงไหลในรูป ฯ
๕. ๑. บวชเพราะศรัทธา คือ พระรัฐบาล ๒. บวชเพราะจาใจ คือ พระนันทะ ๓.
บวชเพราะหลงไหลในรูป คือ พระวักกลิ ฯ
๖. อนุพุทธที่เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสดาซึ่งได้รับการอุปสมบทด้วย
วิธีพิเศษมีบ้างหรือไม่ ? ถ้ามี คือใคร ?
อุปสมบทด้วยวิธีใด ?
๖. มี ฯ คือ พระมหากัสสปะ อุปสมบทด้วยวิธีรับพระโอวาท ๓ ข้อ
พระนางมหาปชาบดีโคตมี อุปสมบทด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ ฯ
๗. “หมู่มนุษย์ในโลกนี้ อาศัยอะไรจึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา”
นี่เป็นปัญหาของใคร ? และได้รับพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไร
?
๗. เป็นปัญหาของปุณณกมาณพ ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า หมู่มนุษย์เหล่านั้น
อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ฯ
๘. ข้อธรรมว่า“โลกคือหมู่สัตว์อันชรานาเข้าไปใกล้
ไม่ยั่งยืน” เรียกว่าธรรมอะไร ? ใครแสดงแก่ใคร
?
๘. เรียกว่า ธรรมุทเทศ ฯ พระรัฐบาลแสดงถวายแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ
ศาสนพิธี
๙. การถวายผ้าวัสสิกสาฎกนั้น มีมูลเหตุมาจากอะไร ?
ใครเป็นผู้ถวาย คนแรก ?
๙. มีมูลเหตุมาจากเดิมยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุมีผ้าวัสสิกสาฎก
ภิกษุทั้งหลาย จึงเปลือยกายอาบน้า นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ทราบเรื่องนั้นแล้ว
เห็นว่าไม่สมควรแก่เพศสมณะ จึงทูลขอพระพุทธานุญาต เพื่อถวาย
ผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษุทั้งหลาย ฯ
๑๐. จงเขียนอุโบสถศีล เฉพาะข้อที่ ๗ มาดู
๑๐. นจฺจ คีต วาทิต วิสูก ทสฺสนา มาลา คนฺธ วิเลปน ธารณ มณฺฑน
วิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปท สมาทิยามิ ฯ
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.
๒๕๕๔
อคฺคสฺมึ ทานํททตํ อคฺคํปุญฺญํปวฑฺฒติ
อคฺคํอายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํพลํ.
เมื่อให้ทานในวัตถุอันเลิศ บุญอันเลิศ อายุวรรณะยศเกียรติสุขและ
กาลังอันเลิศ ก็เจริญ.
(พุทฺธ) ขุ อิติ.
๒๕/๒๙๙
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒
ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑.
ในอริยบุคคล ๒ พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาเรื่องอะไร ? ผู้ศึกษากาลังสอบธรรมอยู่นี้เรียกว่าพระเสขะได้หรือไม่ ?
๑.
คือศึกษา ในอธิสีล ในอธิจิต และในอธิปัญญา อีกอย่างหนึ่งหมายถึง
ต้องศึกษาและต้องปฏิบัติเพื่อมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไปฯ ยังเรียกว่าพระเสขะไม่ได้
ถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล ๗ จาพวกเบื้องต้น ฯ
๒.
มหาภูตรูปและอุปาทายรูปคืออะไร ?
๒.
มหาภูตรูป คือ รูปใหญ่ ได้แก่ธาตุ ๔ มี ปฐวี อาโป เตโช วาโย อุปาทายรูป
คือรูปอาศัยมหาภูตรูปนั้น ฯ
๓.
ไตรวัฏฏะ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏะ มีสภาพ
เกี่ยวเนื่องวนกันไปอย่างไร ? ตัดให้ขาดได้ด้วยอะไร ?
๓.
อย่างนี้ คือ กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทากรรม ครั้นทากรรมแล้ว ย่อมได้รับ
วิบากแห่งกรรม เมื่อได้รับวิบาก กิเลสก็เกิดขึ้นอีก วนกันไปอย่างนี้ ฯ
ได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ ฯ
๔.
เมตตากับปรานีมีความหมายต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร? และอย่างไหน กาจัดวิตกอะไร ?
๔.
เมตตาหมายถึงความรักใคร่หรือความหวังดี ปรานีหมายถึงความปรารถนาให้
ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์เข้าลักษณะแห่งกรุณา ฯ เมตตากาจัดพยาบาทวิตก
ปรานีกาจัดวิหิงสาวิตก ฯ
๕.
ทักขิณา คืออะไร ?
ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ในฝ่ายทายก
และในฝ่ายปฏิคาหกนั้น มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ?
๕.
คือ ของทาบุญ ฯ ทักขิณาจะบริสุทธิ์ มีศีลมีกัลยาณธรรมเป็นเครื่องหมาย
ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ มีทุศีลมีบาปธรรมเป็นเครื่องหมาย ฯ
๖.
บทนมัสการพระธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺม นมสฺสามิ ข้าพเจ้านมัสการพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
ที่ว่า ตรัสดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๖.
มีอธิบายอย่างนี้คือ ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ
ได้ชื่อว่าดีเพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลาดับกัน
มีความไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ
บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในส่วนปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี
เพราะปฏิปทากับพระนิพพานย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๗.
พระพุทธคุณว่า อรห ใช้เป็นคุณบทของพระสาวกได้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าได้ จะมีคาอะไรมาประกอบร่วมด้วย เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นคุณบท
ของพระศาสดาหรือของพระสาวก ?
๗.
ได้ ฯ สาหรับพระศาสดา ใช้ว่า อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า พระอรหันต์
ผู้ตรัสรู้ชอบเอง สาหรับพระสาวกใช้ว่า อรห ขีณาสโว แปลว่า
พระอรหันต์ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ฯ
๘.
คาว่า พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณนั้น ท่านประสงค์บุคคลเช่นไร ? จงจาแนกมาดู
๘.
ท่านประสงค์พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ซึ่งล้วนแต่ท่านผู้ที่ตั้งอยู่ใน
มรรคผลทั้งสิ้น คือ พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล คู่ ๑ พระสกทาคามิมรรค
พระสกทาคามิผล คู่ ๑ พระอนาคามิมรรค พระอนาคามิผล คู่ ๑ พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล
คู่ ๑ ฯ
๙.
พระบาลีว่า “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร ดังนี้ คาว่า สังขารหมายถึงอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง
?
๙.
หมายถึงสภาพผู้ปรุงแต่ง ฯ ได้แก่
๑.
ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบุญ
๒.
อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารคือบาป
๓.
อเนญชาภิสังขาร อภิสังขารคืออเนญชา
๑๐.
ครุกรรม คืออะไร ?
อนันตริยกรรมกับสมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล หรืออกุศล ?
๑๐.
คือ กรรมหนัก ฯ อนันตริยกรรม เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล สมาบัติ ๘ เป็นครุกรรมฝ่ายกุศล
ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑.
ภิกษุผู้ปฏิบัติพระวินัยส่วนอภิสมาจารให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม จะต้อง
ปฏิบัติอย่างไร ?
๑.
จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีงาม ต้องปฏิบัติโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่าง
งมงาย จนเป็นเหตุทาตนให้ลาบากเพราะเหตุธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ อัน ขัดต่อกาลเทศะ
และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทาตนให้เป็นคนเลวทราม ฯ
๒.
เปลือยกายอย่างไรต้องอาบัติถุลลัจจัย ? อย่างไรต้องอาบัติทุกกฎ
?
๒.
เปลือยกายเป็นวัตรเอาอย่างเดียรถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ เปลือยกายทากิจแก่กัน
เช่นไหว้ รับไหว้ ทาบริกรรม ให้ของ รับของ และเปลือยกายในเวลาฉัน ในเวลาดื่ม
ต้องอาบัติทุกกฎฯ
๓.
ในบาลีแสดงเหตุนิสัยจะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๓.
แสดงไว้ ๕ ประการ ฯ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑ สึกเสีย ๑ ตายเสีย ๑
ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑ ฯ
๔.
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่า วตฺตสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร วัตรคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
๔.
วัตรคือแบบอย่างอันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้นๆ ในที่นั้นๆ ในกิจนั้นๆ แก่บุคคลนั้นๆ
ฯ
มี
๑. กิจวัตร ว่าด้วยกิจอันควรทา
๒.
จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓.
วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง ฯ
๕.
คารวะ คืออะไร ?
การลุกขึ้นยืนรับเป็นกิจที่ผู้น้อยพึงทาแก่ผู้ใหญ่
แต่ควรเว้นในเวลาเช่นใดบ้าง ?
๕.
คือ กิริยาที่แสดงอาการอ่อนน้อมโดยสมควรแก่กาล สถานที่ กิจ และ บุคคล ฯ
ควรเว้นในเวลานั่งอยู่ในสานักของผู้ใหญ่ ไม่ลุกรับผู้น้อยกว่าท่าน
ในเวลานั่งเข้าแถวในบ้าน ในเวลาเข้าประชุมสงฆ์ในอาราม ฯ
๖.
ในวัดที่ไม่มีภิกษุผู้ทรงจาปาติโมกข์ได้จนจบ ถึงวันอุโบสถ สวดเท่าที่จาได้
แล้วชักสุตบท (สวดย่อ) โดยอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ถูกต้องหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
๖.
สวดปาติโมกข์ย่อนั้น ถูกต้องแล้ว แต่จะอ้างว่าสวดย่อเพราะเกิดเหตุ ฉุกเฉินนั้น
ไม่ถูกต้อง ฯ เพราะการสวดย่อเนื่องจากจาได้ไม่หมด ทรงอนุญาตไว้แผนกหนึ่งต่างหาก
ไม่จัดเข้าในเหตุฉุกเฉิน ๑๐ ประการ ฯ
๗.
สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ? ภิกษุต้องสภาคาบัติ
จะพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๗.
คือ อาบัติที่ภิกษุต้องวัตถุเดียวกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
เมื่อภิกษุต้องสภาคาบัติ ห้ามไม่ให้แสดงอาบัตินั้นต่อกัน ห้ามไม่ให้รับ
อาบัติของกัน ให้แสดงในสานักภิกษุอื่น ถ้าสงฆ์ต้องสภาคาบัติทั้งหมด
ต้องส่งภิกษุรูปหนึ่งไปแสดงในที่อื่น ภิกษุที่เหลือจึงแสดงในสานักของ ภิกษุนั้นฯ
๘.
ภิกษุได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส กับภิกษุ
ผู้ได้รับการตาหนิว่า กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายตระกูล เพราะมี ความประพฤติเช่นไร ?
๘.
ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่า กุลปสาทโก เพราะถึงพร้อมด้วยอาจาระ
ไม่ทอดตนเป็นคนสนิทของสกุลโดยฐานเป็นคนเลว ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต
ประพฤติพอดีพองาม ทาให้เขาเลื่อมใสนับถือตน ส่วนภิกษุผู้ได้รับการตาหนิว่า
กุลทูสโก ผู้ประทุษร้ายสกุล เพราะประพฤติ ให้เขาเสียศรัทธาเลื่อมใส
ประจบเขาด้วยกิริยาทาตนอย่างคฤหัสถ์ ให้ของ กานัลแก่สกุลอย่างคฤหัสถ์เขาทากัน
ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการ เอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยด้วยหวังได้มาก
ฯ
๙.
ผ้าบริขารโจล ได้แก่ผ้าเช่นไร ? การอธิษฐานด้วยกายกับการอธิษฐาน
ด้วยวาจาต่างกันอย่างไร ?
๙.
ได้แก่ ผ้าที่ไม่ใช่ของใหญ่ถึงกับนุ่งห่มได้ เช่นผ้ากรองน้าถุงบาตร ย่าม ฯ
การอธิษฐานด้วยกาย คือ การใช้มือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐานแล้ว ทาความผูกใจตามคาอธิษฐานนั้นๆ
ส่วนการอธิษฐานด้วยวาจา คือ การเปล่งคาอธิษฐานนั้นๆ ไม่ถูกของด้วยกายก็ได้ ฯ
๑๐.
ผ้าต่อไปนี้ คือ สังฆาฏิ อันตรวาสก นิสีทนะ ผ้าอาบน้าฝน ผ้าเช็ดปาก ผ้าถุงบาตร
ผืนใดที่ทรงอนุญาตให้อธิษฐานได้เพียงผืนเดียว ?
๑๐.
สังฆาฏิ นิสีทนะ อันตรวาสก และผ้าอาบน้าฝน ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
๑.
พระอัญญาโกณฑัญญะสาเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว กี่วัน ? สาเร็จเพราะฟังพระธรรมเทศนาชื่ออะไร ?
๑.
๕ วัน ฯ ชื่อ อนัตตลักขณสูตร ฯ
๒.
ภิกษุผู้รัตตัญญู ย่อมมีคุณสมบัติเช่นไร จึงพ้นจากคาตาหนิว่า โตเพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะบวชนาน ?
๒.
ย่อมเป็นผู้เก่าแก่ ได้พบเห็นและสันทัดในกิจการของคณะ ย่อมอาจจัด
อาจทาให้สาเร็จด้วยตนเองหรือบอกเล่าแนะนาผู้อื่น เป็นเจ้าแบบเจ้าแผนดุจ
ผู้รักษาคลังพัสดุ ฯ
๓.
พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาแก่ใครเป็นคนแรก? อนุปุพพีกถานั้นกล่าวถึงเรื่องอะไร ?
๓.
แสดงแก่ยสกุลบุตรเป็นคนแรก ฯ กล่าวพรรณนาทานการให้ แล้วพรรณนา
ศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อย พรรณนาสวรรค์คือกามคุณที่บุคคลใคร่
ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดีคือทานและศีล พรรณนาโทษแห่งกาม และพรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม
ฯ
๔.
พระสารีบุตรได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที จงเล่าเรื่องมาประกอบ สัก ๑
เรื่อง เพื่อยืนยันคากล่าวนี้
๔.
(ให้ตอบเพียง ๑ เรื่อง)
เรื่องที่
๑ พระสารีบุตรนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เมื่ออาจารย์อยู่ใน ทิศใด ก่อนจะนอน
ท่านจะนมัสการและนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้น ฯ
เรื่องที่
๒ ราธพราหมณ์เสียใจมีร่างกายซูบซีด เพราะไม่ได้อุปสมบทตาม ปรารถนา
พระศาสดาทรงทราบความแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใคร
ระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง, พระสารี
บุตรทูลว่า
ราธพราหมณ์ เคยถวายภิกษาแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาตรัสสรรเสริญว่าเป็นผู้กตัญญู
ดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจาได้ ฯ
๕.
ความเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วดับสูญ เป็นความเห็นผิด ความเห็นที่
ถูกต้องเป็นอย่างไร ?
๕.
ความเห็นที่ถูกต้องว่า พระขีณาสพตายแล้ว รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่ไม่เที่ยงดับไป ฯ
๖.
พระมหากัสสปะได้รับอุปสมบทแล้วนานเท่าไรจึงบรรลุพระอรหัต ? พระโอวาทข้อว่า “เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย
คือพิจารณาร่างกายเป็น อารมณ์” สงเคราะห์เข้าในธรรมข้อใดบ้าง
?
๖.
๘ วัน ฯ สงเคราะห์เข้าใน กายคตาสติ และ วิปัสสนาญาณ เป็นต้น ฯ
๗.
พระสาวกผู้แสดงความไม่ต่างกันแห่งวรรณะ ๔ เหล่า คือใคร ? แสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ? พระสูตรนั้นชื่ออะไร
?
๗.
พระมหากัจจายนะเป็นผู้แสดง ฯ แก่พระเจ้ามธุรราช อวันตีบุตร ฯ ที่คุนธาวัน
แขวงมธุรราชธานี ฯ สูตรนั้นชื่อว่า มธุรสูตร ฯ
๘.
อาจารย์ผู้ผูกปัญหาให้ศิษย์ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ชื่ออะไร ? ทั้งอาจารย์และศิษย์ฟังพุทธพยากรณ์แล้วได้บรรลุผลอะไร ?
๘.
พราหมณ์พาวรี ฯ ปิงคิยมาณพได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ศิษย์อีก ๑๕ คน
ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฯ ส่วนอาจารย์ได้บรรลุเสขภูมิ ฯ
ศาสนพิธี
๙.
วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร ? เนื่องด้วยวันนั้น
มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
๙.
คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไปจาพรรษา
ในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้า เปิดโลก ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์
จนเป็นประเพณีทาบุญ ตักบาตรที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐.
วิหารทานคาถา ซึ่งเป็นบทอนุโมทนาพิเศษ เริ่มต้นด้วย สีต อุณฺห ปฏิหนฺติ ฯลฯ
นิยมใช้สวดเมื่อใด ?
๑๐.
เมื่อทายกถวายเสนาสนะมี โบสถ์ วิหาร กุฎี เป็นต้น ฯ
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓
กลฺยาณิเมว มุญฺเจยฺย
น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ
โมกฺโข กลฺยาณิยา
สาธุ มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ.
พึงเปล่งวาจางามเท่านั้น
ไม่พึงเปล่งวาจาชั่วเลย การเปล่งวาจางาม
ยังประโยชน์ให้สาเร็จ
คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน.
(พุทฺธ) ขุ.
ชา. เอก. ๒๗/๒๘
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑.
สังขตธรรม คืออะไร ?
มีลักษณะอย่างไร ?
๑.
คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่ง ฯมีลักษณะ คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
มีความดับไปในที่สุด และเมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรากฏ ฯ
๒.
วิมุตติ กับ วิโมกข์ ต่างกันอย่างไร ? สมุจเฉทวิมุตติ
มีอธิบายอย่างไร ?
๒.
ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ แต่ก็พ้นจาก ราคะ โทสะ โมหะได้เท่ากันโดยอรรถ ฯ
มีอธิบายว่า
ความพ้นจากกิเลสด้วยอานาจอริยมรรค กิเลสเหล่านั้นขาดเด็ดไป
ไม่กลับเกิดอีก
ฯ
๓.
ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ? ญาณ ๓
ที่เป็นไปในทุกขนิโรธสัจมีอธิบายอย่างไร ?
๓.
มี ๑. สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ
๒.
กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทา
๓.
กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทาแล้ว ฯ
มีอธิบายว่า
๑.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธสัจ จัดเป็นสัจจญาณ
๒.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจเป็นสภาพที่ควรทาให้แจ้ง จัดเป็นกิจจญาณ
๓.
ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธสัจที่ควรทาให้แจ้ง ๆ แล้ว จัดเป็นกตญาณ ฯ
๔.
ภพกับภูมิต่างกันอย่างไร ? มีอย่างละเท่าไร ?
๔.
ภพ หมายถึงโลกเป็นที่อยู่ต่างชั้นแห่งหมู่สัตว์ มี ๓ ฯ ภูมิ หมายถึงภาวะ
อันประณีตขึ้นไปเป็นชั้น ๆ แห่งจิตและเจตสิก มี ๔ ฯ
๕.
กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา ได้ชื่อว่า โอฆะ โยคะ และอาสวะเพราะเหตุไร ?
๕.
ได้ชื่อว่าโอฆะ เพราะเป็นดุจกระแสน้าอันท่วมใจสัตว์ ได้ชื่อว่าโยคะ เพราะประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะเป็นสภาพหมักหมกอยู่ในสันดาน ฯ
๖.
จริต ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? คนมีจริตมักนึกพล่านจะพึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไร
?
๖.
ได้แก่ ๑. ราคจริต ๒. โทสจริต ๓. โมหจริต
๔.
วิตักกจริต ๕. สัทธาจริต ๖. พุทธิจริต ฯ
พึงแก้ด้วยวิธีเพ่งกสิณ
หรือเจริญอานาปานัสสติกัมมัฏฐาน ฯ
๗.
พระพุทธคุณ ๙ บท คืออะไรบ้าง ? บทไหนจัดเป็นอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ
?
๗.
คือ อรห ,
สมฺมาสมฺพุทฺโธ, วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน, สุคโต, โลกวิทู, อนุตฺตโร
ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสาน , พุทฺโธ,
ภควา ฯ
๕
บทเบื้องต้นเป็นอัตตหิตสมบัติ ๔ บทเบื้องปลายเป็นปรหิตปฏิบัติ ฯ
๘.
พระโสดาบัน แปลว่าอะไร ? หมายถึงพระอริยบุคคลผู้ละสังโยชน์อะไรได้ขาดบ้าง
?
๘.
แปลว่าผู้แรกเข้าถึงกระแสพระนิพพาน ฯ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
และสีลัพพตปรามาสได้ขาด ฯ
๙.
ธุดงค์ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? ธุดงค์ที่ภิกษุถือได้มีกาหนดเฉพาะกาล
คือข้อใด ? เพราะเหตุใด ฯ
๙.
เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
ข้อ
รุกขมูลิกังคะ และ อัพโภกาสิกังคะ ฯ
ธุดงค์
๒ ข้อนี้ภิกษุถือได้เฉพาะกาลนอกพรรษา
เพราะในพรรษาภิกษุต้องถือเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยประจาตามพระวินัยนิยม ฯ
๑๐.
บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพหูสูต เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
๑๐.
ประกอบด้วย
๑.
พหุสฺสุตา ได้ยินได้ฟังมาก
๒.
ธตา ทรงจาได้
๓.
วจสา ปริจิตา ท่องไว้ด้วยวาจา
๔.
มนสานุเปกฺขิตา เอาใจจดจ่อ
๕.
ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา ขบด้วยทิฏฐิ ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑.
พุทธบริษัท ๔ ผู้เป็นอริยสาวก มีลาดับการเกิดขึ้นก่อนหลังกันอย่างไร ? บุคคลแรกของแต่ละบริษัทนั้นคือใคร ?
๑.
มีลำดับอย่ำงนี้ คือ ภิกษุ อุบำสก อุบำสิกำ และภิกษุณี ฯพระอัญญำโกณฑัญญะ
เป็นคนแรกของภิกษุบริษัทบิดำของพระยสะ
เป็นคนแรกของอุบำสกบริษัทมำรดำและภรรยำของพระยสะ
เป็นคนแรกของอุบำสิกำบริษัทพระนำงปชำบดี โคตมี เป็นคนแรกของภิกษุณีบริษัท ฯ
๒.
พระอัญญาโกณฑัญญะมีมูลเหตุจูงใจอะไร
จึงได้ออกบวชตามอุปัฏฐากพระมหาบุรุษขณะบาเพ็ญทุกรกิริยา ?
๒.
เพรำะได้เคยเข้ำร่วมทำนำยพระลักษณะของพระมหำบุรุษโดยเชื่อมั่นว่ำจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ำ
จึงตำมอุปัฏฐำกด้วยหวังว่ำ เมื่อพระมหำบุรุษตรัสรู้จักทรงเทศนำโปรด ฯ
๓.
มารยาทดีมีความสารวมย่อมเป็นศรีของสมณะ
สามารถจะปลูกศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดแก่ผู้พบเห็น นี่เป็นปฏิปทาจริยาวัตรของพระสาวกรูปใด
?
จงเล่าประวัติของท่านโดยย่อ
๓.
ของพระอัสสชิเถระ ฯ
ท่ำนเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์
ได้ฟังพระธรรมเทศนำจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ได้เป็นกำลังในกำรประกำศพระศำสนำ
อุปติสสปริพำชกพบเห็นแล้วเกิดควำมเลื่อมใส ขอฟังธรรมจำกท่ำน แล้วได้เข้ำมำบวชในพระพุทธศำสนำ
ฯ
๔.
ยสกุลบุตรได้ฟังธรรมอะไรจากพระศาสดาเป็นครั้งแรก ? ณ ที่ไหน ?
๔.
ได้ฟัง อนุปุพพีกถำ และอริยสัจ ๔ ฯ
ณ
ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน แขวงเมืองพำรำณสี ฯ
๕.
พระสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีบริวารมากคือใคร ? ท่านมีบริวารมากเพราะเหตุไร ?
๕.
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ เพรำะท่ำนรู้จักเอำใจบริษัท รู้จักสงเครำะห์ด้วยอำมิสบ้ำง
ด้วยธรรมบ้ำง ฯ
๖.
พระพุทธโอวาทว่า เราจะไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ดังนี้
พระองค์ตรัสกะสาวกรูปใด ? พระสาวกรูปนั้นเป็นเอตทัคคะในทางใด
?
๖.
พระมหำกัสสปะ ฯ
เป็นเอตทัคคะในทำงถือธุดงค์
ฯ
๗.
พระมหากัจจายนะเคยได้รับมอบหมายจากพระพุทธเจ้าให้ไปเผยแผ่พระศาสนาแทนพระองค์เมื่อครั้งไหน
?
ได้ผลอย่างไร ?
๗.
เมื่อครั้งที่ท่ำนบรรลุพระอรหัต และอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว
ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้ำให้เสด็จไปกรุงอุชเชนี
เพื่อประกำศพระศำสนำตำมพระรำชประสงค์ของพระเจ้ำจัณฑปัชโชต
แต่พระพุทธเจ้ำรับสั่งให้ท่ำนไปแทน ฯ
พระเจ้ำจัณฑปัชโชตและชำวพระนครเลื่อมใสในพระพุทธศำสนำ ฯ
๘.
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระโมฆราชด้วยเรื่องอะไร ? มีความหมาย
อย่างไร
?
๘.
ด้วยเรื่องสุญญตำนุปัสสนำ ฯ มีควำมหมำยว่ำ ให้พิจำรณำเห็นโลกโดยควำมเป็นของว่ำงเปล่ำ
ถอนควำมเห็นว่ำเป็นตัวตนของเรำเสีย ฯ
ศาสนพิธี
๙.
คาว่า เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ใช้ต่างกันอย่างไร ? การทาบุญฉลองอัฐิจัดเข้าในอย่างไหนใน ๒ อย่างข้างต้น ?
๙.
เจริญพระพุทธมนต์ใช้ในงำนมงคล สวดพระพุทธมนต์ใช้ในงำนอวมงคล ฯ
จัดเข้ำในกำรเจริญพระพุทธมนต์
แต่ไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์และสำยสิญจน์ ฯ
๑๐.
งานทาบุญต่อนามหรือต่ออายุ คืองานทาบุญเช่นไร ?
๑๐.
คืองำนทำบุญที่คณะญำติของผู้กำลังป่วยหนักจัดขึ้น
เพื่อให้ผู้ป่วยหำยป่วยและเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกำสบำเพ็ญกุศลในบั้นปลำยแห่งชีวิตของตน
หรือเป็นควำมประสงค์ของผู้จะทำบุญต่ออำยุเองเพื่อควำมเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
๑.
อาทิพรหมจริยกาสิกขา กับ อภิสมาจาริกาสิกขา ต่างกันอย่างไร ?
๑.
ต่างกันดังนี้ อาทิพรหมจริยาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
อันได้แก่พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้ให้เป็นพุทธอาณา
เป็นสิกขาบทอันมาในพระปาติโมกข์
เป็นข้อบังคับโดยตรงทีภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยเคร่งครัด
ส่วนอภิสมาจาริกาสิกขา ได้แก่ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดี ที่ทรงบัญญัติหรืออนุญาตไว้
อันมานอกพระปาติโมกข์ เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของหมู่คณะที่ควรประพฤติ ฯ
๒.
วินัยกรรม กับ สังฆกรรม มีความหมายต่างกันอย่างไร ? การทาวินัยกรรมนั้น มีจากัดบุคคลและสถานที่บ้างหรือไม่อย่างไร ?
๒.
ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงทาตามพระวินัย เช่น พินทุ
อธิษฐาน วิกัปจีวร เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม กรรมที่ภิกษุ ครบองค์เป็นสงฆ์
มีจานวนอย่างต่าตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะพึงทา เช่น อปโลกนกรรมเป็นต้น
เรียกว่าสังฆกรรม ฯ
จากัดบุคคลและสถานที่ไว้ดังนี้
๑.
แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ผู้เป็นภิกษุด้วยกัน
๒.
อธิษฐาน ต้องทาเอง
๓.
วิกัป ต้องวิกัปแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานาสามเณร สามเณรี
รูปใดรูปหนึ่ง
๔.
ห้ามไม่ให้ทาในที่มืด แต่ทาในสีมาหรือนอกสีมาใช้ได้ทั้งนั้น ฯ
๓.
ตามนัยแห่งอรรถกถา อาจารย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คาขอนิสสัยอาจารย์ว่าอย่างไร ?
๓.
มี ๔ ประเภท ฯ
คือ
๑. ปัพพัชชาจารย์ อาจารย์ในบรรพชา
๒.
อุปสัมปทาจารย์ อาจารย์ในอุปสมบท
๓.
นิสสยาจารย์ อาจารย์ผู้ให้นิสสัย
๔.
อุทเทสาจารย์ อาจารย์ผู้บอกธรรม ฯ
ว่า
อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ ฯ
๔.
กิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกันเป็นความดีของหมู่ แต่ต้องทาให้
ถูกต้องตามกาลเทศะ
ในข้อนี้ควรงดเว้นในกรณีใดบ้าง ? จงบอกมาสัก ๕ ข้อ
๔.
ได้แก่ในเวลาดังต่อไปนี้ (ตอบเพียง ๕ ข้อ)
๑.
ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คืออยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒.
ในเวลาถูกสงฆ์ทาอุกเขปนียกรรม ที่ถูกห้ามสมโภคและสังวาส
๓.
ในเวลาเปลือยกาย
๔.
ในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง
๕.
ในเวลาอยู่ในที่มืดที่แลไม่เห็นกัน
๖.
ในเวลาที่ท่านไม่รู้ คือนอนหลับหรือขลุกขลุ่ยอยู่ด้วยธุระอย่างหนึ่ง หรือ
ส่งใจไปอื่น
แม้ไหว้ ท่านก็คงไม่ใส่ใจ
๗.
ในเวลาขบฉันอาหาร
๘.
ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ฯ
๕.
ในวัดหนึ่ง ถ้ามีภิกษุจาพรรษา ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ ๑ รูป
เมื่อถึงวันอุโบสถพึงปฏิบัติอย่างไร ?
๕.
๔ รูป พึงประชุมกันในโรงอุโบสถสวดปาติโมกข์
๓
รูป พึงประชุมกันทาปาริสุทธิอุโบสถ ดังนี้
ประชุมกันในโรงอุโบสถแล้วรูปหนึ่งสวดประกาศญัตติ
จบแล้วแต่ละรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตน
๒
รูป ไม่ต้องตั้งญัตติ พึงบอกความบริสุทธิ์แก่กันและกัน
๑
รูป พึงอธิษฐาน ฯ
๖.
อุปปถกิริยา คืออะไร ? ความประพฤติเช่นไรจัดเข้าใน
อนาจารปาปสมาจาร อเนสนา ?
๖.
คือ การทานอกรีตนอกรอยของสมณะ ฯ
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม
และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจารความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควรจัดเข้าในอเนสนา ฯ
๗.
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าโคจรสัมปันโนผู้ถึงพร้อมด้วยโคจรเพราะปฏิบัติอย่างไร ?
๗.
เพราะเว้นอโคจร ๖ จะไปหาใครหรือจะไปที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานอันสมควร ไปเป็นกิจลักษณะในเวลาอันควร
ไม่ไปพร่าเพรื่อ
กลับในเวลาประพฤติตนไม่ให้เป็นที่รังเกียจของเพื่อนสหธรรมิกเพราะการไปเที่ยว ฯ
๘.
ยาวกาลิกกับยาวชีวิกได้แก่กาลิกเช่นไร ? กาลิกระคนกันมีกฎเกณฑ์กาหนดอายุไว้อย่างไร
? จงยกตัวอย่าง
๘.
ยาวกาลิก ได้แก่ของที่ให้บริโภคได้ชั่วคราว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน
ยาวชีวิกได้แก่ของที่ให้บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจากัดกาล ฯ
กฎเกณฑ์กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุน้อยที่สุด
ฯ เช่นยาผง เป็นยาวชีวิก คลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิก ต้องถืออายุ ๗ วัน
เป็นเกณฑ์ ฯ
๙.
คาว่า อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ หมายถึงอะไร ?
๙.
อันโตวุฏฐะ หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุเก็บไว้ในที่อยู่ของตน ฯ
อันโตปักกะ
หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุหุงต้มภายใน (ที่อยู่ของตน) ฯ
สามปักกะ
หมายถึงยาวกาลิกที่ภิกษุทาให้สุกเอง ฯ
๑๐.
ภิกษุจะฉันสิ่งใด ๆ ต้องรับประเคนก่อน มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษอะไรบ้างที่ไม่ต้องรับประเคนก่อนก็ฉันได้
?
๑๐.
ยกเว้นเป็นพิเศษเฉพาะภิกษุอาพาธถูกงูกัด ให้ฉันยามหาวิกัฏ ๔ คือมูตร คูถเถ้า
และดินได้ ฯ
ปัญหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
อวณฺณญฺจ อกิตฺติญฺจ
ทุสฺสีโล ลภเต นโร
วณฺณํ กิตฺตึ ปสํสญฺจ
สทา ลถติ สีลวา
คนผู้ทุศีล ย่อมได้รับความติเตียน
และความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีล
ย่อมได้รับชื่อเสียงและความยกย่องสรรเสริญทุกเมื่อ
(สีลวตฺเถร)
ขุ. เถร. ๒๖/๓๕๗
----------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกัน แต่จะซ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
----------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่
๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. ตจปัญจกกัมมัฏฐานเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง
? จัดเป็นสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ?
๑. เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูลกัมมัฏฐาน ฯ
มี
เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน และ ตโจ หนังฯ
เป็นได้ทั้งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐานฯ
๒. ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไป เป็นลักษณะของธรรมอะไร ? สัตว์บุคคลมีลักษณะเช่นนั้นหรือไม่ ? จงอธิบาย
๒. เป็นลักษณะของสังขตธรรมฯ มีลักษณะเช่นนั้น คือ เมื่อสัตว์บุคคลเกิดมาแล้ว ก็เป็นความเกิดขึ้น
ต่อมาก็เจริญเติบโตผ่านวัยทั้ง ๓ ก็เป็นความตั้งอยู่ เมื่อตาย ก็เป็นความดับไปฯ
๓. ปิฎก ๓ ได้แก่อะไร ? แต่ละปิฎก ว่าด้วยเรื่องอะไร
?
๓. ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกฯ
พระวินับปิฎก
ว่าด้วยเรื่องฎกระเบียบข้อบังคับที่นาความประพฤติให้สม่าเสมอกัน หรือเป็นเรื่องบริหารคณะ
พระสุตตันตปิฎก
ว่าด้วยคาสอนยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
พระอภิธรรมปิฎก
ว่าด้วยคาสอนยกธรรมล้วนๆ ไม่เจือด้วยสัตว์หรือบุคคล เป็นที่ตั้งฯ
๔. อาสวักขยญาณ รู้จักทาอาสวะให้สิ้น มีอธิบายอย่างไร ?
๔. มีอธิบายอย่างนี้ รู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางไปถึงความดับอาสวะ เมื่อรู้เห็นอย่างนี้
จิตพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะฯ
๕.
มาร มีอะไรบ้าง ?
อกุศลกรรมจัดเป็นมารประเภทใด ?
๕.
มีดังนี้ ๑. ขันธมาร มารคือปัญจขันธ์
๒.
กิเลสมาร มารคือกิเลส
๓.
อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขาร
๔.
มัจจุมาร มารคือมรณะ
๕.
เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร
อกุศลกรรมเป็นมารประเภทอภิสังขารมารฯ
๖.
สวรรค์มีกี่ชั้น ?
อะไรบ้าง ?
๖.
มี ๖ ชั้น ฯ ได้แก่
๑.
ชั้นจาตุมหาราชิก
๒.
ชั้นดาวดึงส์
๓.
ชั้นยามา
๔.
ชั้นดุสิต
๕.
ชั้นนิมมานรดี
๖.
ชั้นปรนิมมิตรสวัดดี ฯ
๗.
พระพุทธคุณบทหนึ่งว่า เป็นผู้หักกาแห่งสังสารจักร ถามว่า กา ได้แก่อะไร ? สังสารจักร ได้แก่อะไร ?
๗.
กา ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรมฯ สังสารจักร ได้แก่ วัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม
วิบากฯ
๘.
มิจฉัตตะ คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ? มิจฉาวายามะ
ได้แก่พยายามผิดอย่างไร ?
๘.
ความเป็นสิ่งที่ผิด ฯ มี
๑.
มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕.
มิจฉาอาชีวะ
๖.
มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณะ ๑๐. มิจฉาวิมุตติฯ
มิจฉาวายามะ
ได้แก่ พยายามในทางยังบาปธรรมให้เกิดขึ้นและให้เจริญ
และในทางยังกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้นและให้เสื่อมสิ้นไปฯ
๙.
สังโยชน์ คืออะไร ?
พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรขาดบ้าง ?
๙.
คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์ไว้ ฯ ละสังโยชน์ ๓ เบื้องต้นได้ขาด คือ
๑.
สักกายทิฏฐิ
๒.
วิจิกิจฉา
๓.
สีลัพพตปรามาส ฯ
๑๐.
ธุดงค์ ได้แก่อะไร ?
การสมาทานธุดงค์ด้วยการฉันมื้อเดียวเป็นวัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฉันเอกา” จัดเข้าในธุดงค์ข้อไหน ?
๑๐.
ได้แก่ วัตตจริยาพิเศษอย่างหนึ่ง เป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ จัดเข้าในข้อ เอกาสนิกังคะ คือ ถือนั่งฉัน ณ
อาสนะเดียวเป็นวัตร ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี ที่
๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑. พระสาวกสงฆ์ผู้ได้ชื่อว่าอนุพุทธะ มีความสาคัญอย่างไร ?
๑. มีความสาคัญ คือ พระสงฆ์สาวกจัดเป็นรัตนะประการหนึ่งในรัตนะ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน
ถ้าไม่มีพระสาวกสงฆ์เป็นผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติธรรม ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ไม่สาเร็จประโยชน์
และพระสาวกสงฆ์นั้นได้เป็นกาลังใหญ่ของพระศาสนาในอันช่วยประกาศพระธรรมประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก
๒. พระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน แต่พระอัญญาโกณฑัญญะได้รับยกย่องเป็นปฐมสาวก
เพราะเหตุ ?
๒. เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนและได้รับอุปสมบทก่อนองค์อื่น
ฯ
๓. เอหิภิกขุอุปสัมปทาที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์และพระยสะต่างกันอย่างไร
? เพราะเหตุไร ?
๓. ต่างกัน คือ ที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์มีคาว่า เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ส่วนที่ประทานแก่พระยสะไม่มีคาว่า
เพื่อทาที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ เพราะพยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว ฯ
๔. พระปัญจวัคคีย์องค์ไหนบ้างได้ศิษย์ดีมีความสาคัญต่อพระศาสนา ? ศิษย์นั้นชื่ออะไร และเป็นผู้เลิศในทางใด ?
๔. พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้พระปุณณนมันตานีบุตรเป็นศิษย์เป็นผู้เลิศในทางธรรมกถึก
พระอัสสชิ
ได้พระสารีบุตรเป็นศิษย์ เป็นผู้เลิศในทางมีปัญญามาก ฯ
๕. ชฏิล ๒ พี่น้อง ต่างละลัทธิของตน บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด
?
อุรุเวลกัสสปะ
ถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ
แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ทรมานจนถอนทิฏฐิมานะ
ได้ปรีชาหยั่งเห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ ตนมิได้เป็นผู้วิเศษแต่ประการใด
ได้ความสลดใจ จึงทูลขออุปสมบท
ส่วนนทีกัสสปะ
และ คยากัสสปะ เห็นพี่ชายถือเพศเป็นภิกษุ ถามทราบความว่า พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ
จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขออุปสมบทฯ
๖.
พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวันแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร ? และทรงถวายด้วยวิธีการอย่างไร
?
๖.
เพราะทรงเห็นว่า พระราชอุทยานเป็นที่ไม่ไกลไม่ใกล้นักแต่บ้าน
บริบูรณ์ด้วยทางเป็นที่ไปและทางเป็นที่มา ควรที่ผู้มีธุระจะควรไปถึง
กลางวันไม่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่คน กลางคืนเงียบเสียงที่จะอื้ออึงกึกก้อง
ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก สมควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการเป็นที่สงัด
และควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามวิสัยสมณะ ควรเป็นที่เสด็จอยู่ของพระศาสดาฯ
ทรงถวายด้วยการหลั่งน้าจากพระเต้าทองฯ
๗.
“คนเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่ทันถึง ๑๐๐ ปี ก็จักไม่มีเหลือ จักล่วงไปหมด
ดูการเล่นไม่มีประโยชน์อะไร ควรขวนขวายหาธรรมเครื่องพ้นดีกว่า” นี้เป็นคาพูดของใคร ? พูดกะใคร ?
๗.
ของอุปติสสมานพ ฯ พูดกะโกลิตมาณพฯ
๘.
คาถามว่า “ข้าพเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจักไม่แลเห็น” ใครเป็นผู้ทูลถาม ? พระศาสดาทรงพยากรณ์ไว้อย่างไร ?
๘.
พระโมฆราชเป็นผู้ทูลถาม ฯ
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า
ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเป็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า
ถอนความตามเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด
ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล
มันจุราชจึงไม่แลเห็นเห็นฯ
ศาสนพิธี
๙.
สามัญอนุโมทนา กับ วิเสสอนุโมทนา ต่างกันอย่างไร ?
๙.
ต่างกันอย่างนี้ สามัญอนุโมทนา คือการอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันทั่วไปปกติ
ไม่ว่างานใด ก็ใช้อนุโมทนาอย่างนั้นฯ ส่วน วิเสสอนุโมทนา
คือการอนุโมทนาด้วยบทสวดสาหรับอนุโมทนาเป็นบทพิเศษ เฉพาะทาน เฉพาะกาล
และเฉพาะเรื่องฯ
๑๐.
บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... และบท อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ต่างกันอย่างไร ?
๑๐.
บท อทาสิ เม อกาสิ เม ... ใช้ในกรณีที่ศพยังอยู่
บท
อยญฺ จ โข ทกฺขิณา ทินฺนา ... ใช้ในกรณีทาบุญอัฐิ ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสดี
ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑.
สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น๒ คือเป็นข้อห้าม ๑
เป็นข้ออนุญาต๑ นั้น คืออย่างไร ?
๑.
ที่เป็นข้อห้าม คือกิริยาบางอย่างหรือบริขารบางประเภทไม่เหมาะแก่สมณะสารูป
จึงทรงห้ามไม่ให้กระทาหรือใช้บริขารเช่นนั้น เช่นห้ามไม่ให้ไว้ผมยาว
ไม่ให้ไว้หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น
ที่เป็นข้ออนุญาต
คือการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่นทรงอนุญาตวัสสิกสาฎกในฤดูฝน เป็นต้นฯ
๒.
มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า อย่าพึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่างพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์
ในกรณีที่ภิกษุถูกโจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย
?
๒.
พึงปิดกายด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้
ห้ามมิให้เปลือยกาย ฯ
๓.
ผ้าสาหรับทาจีวรนุ่งห่มนั้น ทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
๓.
ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด ฯ คือ
๑.
โขมะ ผ้าทาด้วยเปลือกไม้
๒.
กัปปาสิกะ ผ้าทาด้วยฝ้าย
๓.
โกเสยยะ ผ้าทาด้วยใยไหม
๔.
กัมพละ ผ้าทาด้วยขนสัตว์ ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕.
สาณะ ผ้าทาด้วยเปลือกป่าน
๖.
ภังคะ ผ้าที่ทาด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๔.
การประณาม ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร ? มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทาการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร
?
๔.
หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริกหรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ฯ
ผู้ประพฤติ
ดังนี้
๑.
หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒.
หาความเลื่อมใสมิได้
๓.
หาความละอายมิได้
๔.
หาความเคารพมิได้
๕.
หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
๕.
บุพพกรณ์และบุพพกิจในการทาอุโบสถต่างกันอย่างไร ? ในวัดที่มีภิกษุ
๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ จะต้องทาบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร ?
๕.
บุพพกรณ์ คือ กรณียะอันจะพึงกระทาให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วน
บุพพกิจเป็นธุระอันจะพึงทาก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ
บุพพกรณ์นั้นเป็นกรณียะจะต้องทา
เพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ ส่วนบุพพกิจนั้นไม่ต้องทา เพราะภิกษุ ๓ รูป
ไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
๖.
ภิกษุจาพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป หรือ อยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณา
พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๖.
อยู่ด้วยกัน ๕ รูป พึงทาปวารณาเป็นการสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป
พึงปวารณาเป็นการคณะ อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๗.
การทานอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา
ได้แก่ความประพฤติเช่นไร ?
รวมเรียกว่าอะไร ?
๗.
อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ
ปาปสมาจาร
ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา
ได้แก่ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ฯ
รวมเรียกว่า
อุปปถกิริยา ฯ
๘.
กาลิก คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ? กาลิกกระคนกันมีกาหนดอายุไว้อย่างไร
? จงยกตัวอย่าง
๘.
ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลาคอเข้าไป ฯ มีดังนี้ คือ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก
และ ยาวชีวิก ฯ กาหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น
เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จากัดอายุคลุกกับน้าผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกาหนดอายุไว้
๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกณฑ์ ฯ
๙.
การแสดงอาบัติ การอธิษฐาน การทาวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร ? การทากิจเหล่านี้จากัดคนไว้อย่างไร ?
๙.
เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ
จากัดภิกษุผู้รับ ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิษฐาน
ให้ทาเอง
การทาวิกัป
จากัดผู้รับ ต้องทากับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา
รูปใดรูปหนึ่ง ฯ
๑๐.
ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติเช่นไร ? จงชี้แจง
๑๐.
เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร
เว้นจากบุคคลและสถานที่ไม่สมควรไปคืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน
ผู้ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจรอันเป็นคุณบทว่า สีลสัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
กระทู้ธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
สีลสมาธิคุณานํ
ขนฺติ ปธานการณํ
สพฺเพปิ กุสลา
ธมฺมา ขนฺตฺยาเยว วฑฺฒนฺติ เต ฯ
ขันติเป็นประธาน
เป็นเหตุแห่งคุณคือศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจเพราะขันติเท่านั้น ฯ
ส. ม. ๒๒๒
--------------------
แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร
อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ
และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย
ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกันแต่จะซํ้าคัมภีร์ได้ ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น
ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้
กำหนดให้เขียนลงในใบตอบ ตั้งแต่ ๓ หน้า (เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓
ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๕๐
๑.
พระเสขะ ผู้ยังต้องศึกษา คือศึกษาอะไร? ชื่อว่าพระอเสขะ
เพราะอะไร ?
๑.
ศึกษาสิกขา ๓ คือ ๑. อธิสีลสิกขา ๒. อธิจิตตสิกขา ๓. อธิปัญญาสิกขา ฯ
เพราะเสร็จกิจอันจะต้องทาแล้ว
ฯ
๒.
ความเห็นว่าเที่ยงและเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นอย่างไร ? มติในทางพระพุทธศาสนาเป็นเช่นไร จงอธิบาย ?
๒.
เห็นว่าเที่ยง คือเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้ว ชีวะไม่สูญ ต้องเกิดอีกต่อไป
หรือเคยเป็นอะไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปหรือมีสภาพอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นต้น ส่วนเห็นว่าขาดสูญ
คือเห็นว่า อัตภาพจุติแล้วเป็นอันสูญสิ้นไป หรือคนสัตว์ตายแล้วขาดสูญไปโดยประการทั้งปวง
ฯ
พระพุทธศาสนาปฏิเสธความเห็นทั้ง
๒ นั้น มีความเห็นประกอบด้วยสัมมาญาณ อิงเหตุผล ยึดเหตุผลเป็นที่ตั้ง โดยเห็นว่า คนและสัตว์ตายแล้วจะเกิดอีกหรือ
ไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ฯ
๓.
ปาพจน์ ๒ ได้แก่อะไรบ้าง ? ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้อะไรบ้าง
?
๓.
ได้แก่ พระธรรม และ พระวินัย ฯ ถ้าแจกเป็น ๓ จะได้ พระวินัย ๑ พระสูตร
๑ พระอภิธรรม ๑ ฯ
๔.
พระพุทธเจ้าทรงอุปมากิเลสเหล่าไหนว่ามีลักษณะเหมือนกับไฟ ? ที่ทรงอุปมาเช่นนั้นเพราะเหตุไร?
๔.
กิเลสเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะฯ
เพราะเมื่อกิเลสทั้ง
๓ กองนี้ กองใดกองหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของบุคคล จะแผดเผาก่อให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นภายในใจ
ฯ
๕.
กรรมและทวาร คืออะไร ? อภิชฌาเป็นกรรมใดและเกิดทางทวารใดบ้าง
จงอธิบาย ?
๕.กรรม
คือ การกระทา ส่วนทวาร คือ ทางเกิดของกรรม ฯ อภิชฌา ความอยากได้
เป็นมโนกรรมได้อย่างเดียว และเกิดได้ทั้ง ๓ ทวาร เป็นกายทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วลูบคลาพัสดุที่อยากได้นั้น แต่ไม่มีไถยจิต เป็นวจีทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วบ่นว่า ทาอย่างไรดีหนอ จักได้พัสดุนั้น และเป็นมโนทวาร เช่น
มีความอยากได้แล้วราพึงในใจ ฯ
๖.
วิโมกข์ คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ?
๖.
คือ ความพ้นจากกิเลส ฯ
มี
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ
๗.
พระอริยบุคคล ๔ ได้แก่ใครบ้าง ? พระโสดาบันละสังโยชน์อะไรได้บ้าง
?
๗.
ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ฯ
พระโสดาบันละสังโยชน์ได้
๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ฯ
๘.
โยนิ คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ? เทวดา และสัตว์นรก
จัดอยู่ในโยนิไหน ?
๘.
คือ กาเนิด ฯ
มี
ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ อัณฑชะ เกิดในไข่
สังเสทชะ
เกิดในเถ้าไคล โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น ฯ
จัดอยู่ใน
โอปปาติกะ ฯ
๙.
เวทนา ๓ และเวทนา ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? จัดกลุ่มเทียบกันได้อย่างไร
?
๙.
เวทนา ๓ ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ส่วนเวทนา ๕ ได้แก่ สุข โสมนัส
ทุกข์ โทมนัส อุเบกขา ฯ
ในเวทนา
๓ สุข คือ สุขกายและสุขใจ ซึ่งในเวทนา ๕ สุขกายก็คือสุข และสุขใจก็คือโสมนัส
ในเวทนา
๓ ทุกข์ คือ ทุกข์กายและทุกข์ใจ ซึ่งในเวทนา ๕ ทุกข์กายก็คือทุกข์
และทุกข์ใจก็คือโทมนัส
ส่วนในเวทนา
๓ เฉย ๆ คือไม่สุขไม่ทุกข์ ในเวทนา ๕ ก็คืออุเบกขานั่นเอง ฯ
๑๐.
ในกรรม ๑๒ อุปัตถัมภกกรรม กับ อุปปีฬกกรรม ทาหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
๑๐.
อุปัตถัมภกกรรม ทาหน้าที่สนับสนุนผลแห่งชนกกรรม
อุปปีฬกกรรม
ทาหน้าที่บีบคั้นผลแห่งชนกกรรม ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพุธ ที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
๑.
สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และอนุพุทธะ ต่างกันอย่างไร ?
การเรียนอนุพุทธประวัติสาเร็จประโยชน์อย่างไร
?
๑.
สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้เองโดยชอบ และสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ด้วย
ปัจเจกพุทธะ
ตรัสรู้เฉพาะตน แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
อนุพุทธะ
ตรัสรู้ตาม คือมีพระพุทธเจ้าสั่งสอนจึงรู้ตามได้
และสามารถสอนผู้อื่นให้กระทาตามด้วย ฯ
เพื่อจะได้ทราบความเป็นไปและปฏิปทาของท่าน
ที่ได้ช่วยประกาศพระศาสนาในที่นั้น ๆ จนเป็นเหตุเจริญแพร่หลายและมั่นคง
แล้วจักได้ถือเป็นทิฏฐานุคติ บาเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านโดยควรแก่ฐานะของตน
ทั้งให้สาเร็จเป็นสังฆานุสติมั่นคงอีกด้วย ฯ
๒.
พระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อเดิมว่าอะไร ? เกิดที่ไหน
? เรียนจบอะไร ? ทาไมจึงได้ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ
?
๒.
ชื่อเดิมว่าโกณฑัญญะ ฯ
เกิดที่บ้านพราหมณ์ชื่อโทณวัตถุ
อยู่ไม่ห่างจากกรุงกบิลพัสดุ์ ฯ เรียนจบไตรเพทและรู้ตาราทานายลักษณะ
ฯ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า
อญฺญาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงเปล่งเมื่อท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
ฯ
๓.
เศรษฐีบิดาพระยสะออกติดตามหาพระยสะให้กลับบ้าน
แต่เหตุไฉนเมื่อพบแล้วจึงมิได้นากลับไปตามความประสงค์เดิม ?
๓.
เพราะได้ทราบว่า พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
ไม่ควรเพื่อจะกลับไปครองเรือนอีกต่อไป ควรจะออกบวชเป็นพระภิกษุ ฯ
๔.
พระอุรุเวลกัสสปะบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด ?
พระพุทธองค์ทรงพาท่านไปกรุงราชคฤห์ด้วย
เพราะทรงมีพุทธประสงค์อย่างไร ?
๔.
พระอุรุเวลกัสสปะเห็นอภินิหารของพระพุทธองค์หลายประการ จนถอนทิฏฐิมานะของตน
เห็นว่าลัทธิของตนหาแก่นสารมิได้ และตนก็มิได้เป็นผู้วิเศษ ได้ความสลดใจ
จึงทูลขออุปสมบท ฯ
ทรงมีพุทธประสงค์จะปลูกศรัทธาแก่มหาชน
เพราะท่านเป็นที่นับถือของมหาชนมานาน ฯ
๕.
พรข้อว่า ถ้าจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ และข้อว่า
ถ้าพระองค์จะเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ พระอานนท์ทูลขอเพื่อประโยชน์อะไร ?
๕.
ข้อต้น เพื่อป้องกันคาติเตียนว่า พระอานนท์บารุงพระศาสดาเพราะเห็นแก่ลาภ
ข้อหลัง
เพื่อป้องกันคนกล่าวว่า พระอานนท์บารุงพระศาสดาไปทาอะไร
เพราะพระองค์ไม่ทรงอนุเคราะห์แม้ด้วยกิจเท่านี้ ฯ
๖.
ธรรมุทเทศ มีอะไรบ้าง ? ใครแสดงแก่ใคร ?
๖.
มี
๑.
โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานาเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
๒.
โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จาเพาะตน
๓.
โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จาต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
๔.
โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ
ฯ
๗.
พระโมฆราชทูลถามปัญหาพระพุทธองค์เป็นคนที่เท่าไร ?
เพราะเหตุไร ?
๗.
เป็นคนที่ ๑๕ ฯ เพราะครั้งแรกเห็นว่าท่านอชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ถามก่อน
แต่เมื่อปรารภจะทูลถามเป็นคนที่ ๒ และคนที่ ๙ ถูกพระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ให้รอก่อน
จึงได้โอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ ฯ
๘.
ในอสีติมหาสาวก มีองค์ไหนบ้างมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์และอาจารย์กัน ?
จงบอกมาสัก ๒ คู่
๘.
(ตอบเพียง ๒ คู่)
พระอัญญาโกณฑัญญะกับพระปุณณมันตานีบุตร
พระอัสสชิกับพระสารีบุตร
พระสารีบุตรกับพระราธะ
พระสารีบุตรกับพระราหุล
พระมหากัจจายนะกับพระโสณกุฏิกัณณะ
ฯ
ศาสนพิธี
๙.
วันเทโวโรหณะ คือวันอะไร? เนื่องด้วยวันนั้น
มีบุญพิธีอะไรที่ทากันมาจนถึงบัดนี้ ?
๙.
คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังจากที่เสด็จขึ้นไป
จาพรรษาในดาวดึงสพิภพถ้วนไตรมาส โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันพระเจ้าเปิดโลก
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ฯ
มีการทาบุญตักบาตรแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
จนเป็นประเพณีทาบุญตักบาตรที่เรียกว่าตักบาตรเทโวโรหณะ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ฯ
๑๐.
บังสุกุลเป็น คืออะไร ? คาถาที่ใช้บังสุกุลเป็น
ว่าอย่างไร ?
๑๐.
บังสุกุลเป็น คือบุญกิริยาที่เจ้าภาพประสงค์จะบริจาควัตถุเนื่องด้วยกายของตน
โดยเฉพาะผ้าอุทิศสงฆ์ให้เป็นผ้าบังสุกุล ปกตินิยมทาเมื่อป่วยหนัก
เป็นการกาหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่ง ฯ
ว่า
อจิร วตย กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ
อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถ ว กลิงฺคร ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
๑.
อภิสมาจาร มีรูปเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นข้ออนุญาต อีกอย่างหนึ่งคืออะไร
? และปรับอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๑.
อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อห้าม ฯ
ปรับอาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ
ฯ
๒.
ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร
?
๒.
อาจจะผิดหรือไม่ผิดแล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีจีวร เช่นจีวรถูกไฟไหม้
ถูกโจรชิงไปหมด นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฏ
แต่ถ้าไม่มีเหตุแล้วนุ่งห่มต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
๓.
วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร ?
๓.
คือ ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก เนื้อ หรืออื่นๆ
อันเป็นเดนลงในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือหรือบ้วนปากลงในบาตร จะเอามือเปื้อนจับบาตรก็ไม่ควร
ฉันแล้วให้ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บไว้ทั้งยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก
ให้เช็ดจนหมดน้าก่อนจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งสักครู่หนึ่ง ฯ
๔.
สัทธิวิหาริก คือใคร ? อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง?
๔.
คือ ภิกษุผู้พึ่งพิง ในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูปนั้นฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้
คือ
๑.
เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒.
สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ
ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายให้
๓.
ขวนขวายป้องกันหรือระงับความเสื่อมเสียอันจักเกิดมีหรือได้มีแล้ว
แก่สัทธิวิหาริก
๔.
เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทาการพยาบาล ฯ
๕.
ภิกษุอยู่จาพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายใน วันนั้น
มิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มีเหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้
พรรษาขาดหรือไม่?
เพราะเหตุใด?
๕.
ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด ฯ
เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง
ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด
๖.
ในการทาอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง? และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
๖.
มีดังนี้ นาปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นาฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ
สั่งสอนนางภิกษุณี ฯ
ในเรื่องที่ว่า
รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทาอุโบสถด้วยอีก แต่นึกเสียว่า ช่างเป็นไร แล้วสวด
ปรับอาบัติถุลลัจจัย ฯ
๗.
ปวารณา คืออะไร?
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทาปวารณาได้ ? และทาในวันไหน?
๗.
คือ การบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อปรารถนาตักเตือนว่ากล่าวตนได้ ฯ
มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จาพรรษาถ้วนไตรมาสทาปวารณาแทนอุโบสถ
ฯ
ในวันขึ้น
๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจาพรรษา ฯ
๘.
ดิรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน ?
๘.
เป็นความรู้ที่เขาสงสัยว่าลวงหรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง
ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวงหรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้น
พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ
๙.
ยาวกาลิก กับ ยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร ?
๙.
ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว
คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้น
ส่วนยาวชีวิก
เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอไป ไม่มีจากัดเวลา แต่เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้
ได้แก่ รากไม้ น้าฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้นฯ
๑๐.
อโคจร คืออะไร ?
มีอะไรบ้าง ?
๑๐.
คือ บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯ
มีหญิงแพศยา
๑ หญิงหม้าย ๑ สาวเทื้อ ๑ ภิกษุณี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ร้านสุรา ๑ ฯ
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันพฤหัสบดี ที่
๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
อถ ปาปานิ กมฺมานิ
กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ.
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม
ทากรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก
เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน
เหมือนถูกไฟไหม้.
( พุทฺธ )
ขุ. ธ. ๒๕/๓๓.
--------------------
แต่งอธิบายเป็นทานองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า
๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซ้าข้อกันแต่จะซ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กาหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
--------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่
๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑.
มูลกัมมัฏฐาน คืออะไร ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของสมถะ ? เจริญอย่างไรเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ?
๑.
คือ กัมมัฏฐานเดิม ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่พระอุปัชฌาย์ สอนก่อนบรรพชา
ฯ
ถ้าเพ่งกาหนดให้จิตสงบด้วยภาวนา
จัดเป็นอารมณ์ของสมถะ ถ้ายกขึ้น พิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ
ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยสามัญลักษณะ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ฯ
๒.
ปฏิสันถาร คืออะไร ?
จงแสดงวิธีปฏิสันถารตามความรู้ที่ได้ศึกษามา ?
๒.
คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการพูดจาปราศรัย หรือด้วยการรับรอง ด้วยของ
ต้อนรับตามสมควรด้วยไมตรีจิต
ปฏิสันถารที่ได้ศึกษามามี
๒ อย่าง คือ
๑.
อามิสปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ ได้แก่การจัดหาวัตถุ สิ่งของต้อนรับ เช่น
ข้าว น้า หรือที่พัก เป็นต้น
๒.
ธัมมปฏิสันถาร ปฏิสันถารด้วยธรรม ได้แก่การแสดงการ
ต้อนรับตามความเหมาะสมแก่ผู้มาเยือน หรือการให้คาแนะนา ในสิ่งที่เป็นประโยชน์
เป็นต้น ฯ
๓.
อกุศลวิตก ๓ มีโทษอย่างไร ? แก้ด้วยวิธีอย่างไร ?
๓.
กามวิตก ทาใจให้เศร้าหมอง เป็นเหตุให้มัวเมาติดอยู่ในกามสมบัติ
พยาบาทวิตก
ทาให้เดือดร้อนกระวนกระวายใจ คิดทาร้ายผู้อื่น วิหิงสาวิตก ย่อมครอบงาจิต
ให้คิดเบียดเบียนผู้อื่นโดยเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัว ฯ กามวิตก
แก้ด้วยการเจริญกายคตาสติและอสุภกัมมัฏฐาน
พยาบาทวิตก
แก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร วิหิงสาวิตก
แก้ด้วยการเจริญกรุณาพรหมวิหารและโยนิโสมนสิการ ฯ
๔.
พรหมวิหารกับอัปปมัญญา ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนเป็นปฏิปทา
โดยตรงของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ?
๔.
ต่างกันโดยวิธีแผ่ คือ แผ่โดยเจาะจงตัวก็ดี โดยไม่เจาะจงตัวก็ดี แต่
ยังจากัดหมู่นั้นหมู่นี้จัดเป็นพรหมวิหาร ถ้าแผ่โดยไม่เจาะจงไม่จากัด
จัดเป็นอัปปมัญญา ฯ
อัปปมัญญาเป็นปฏิปทาของภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ฯ
๕.
ทักขิณา คืออะไร ?
ทักขิณานั้น จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ มีอะไร เป็นเครื่องหมาย ?
๕.
คือ ของทาบุญ ฯ
มีกัลยาณธรรมของทายก
หรือปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเครื่องหมาย ให้รู้ว่า บริสุทธิ์
และมีความเป็นผู้ทุศีลและอธรรม ของทายกหรือ
ปฏิคาหกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ ฯ
๖.
มาร คืออะไร ?
เฉพาะอภิสังขารมาร หมายถึงอะไร ?
๖.
คือ สิ่งที่ล้างผลาญทาลายความดี ชักนาให้ทาบาปกรรม ปิดกั้นไม่ให้ทา ความดี
จนถึงปิดกั้นไม่ให้เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ฯ
หมายถึง
อกุศลกรรม ฯ
๗.
พระธรรมคุณบทใด มีความหมายตรงกับคาว่า “ท้าให้มาพิสูจน์ได้”
?พระธรรมคุณบทนั้น มีอธิบายว่าอย่างไร ?
๗.
บทว่า เอหิปัสสิโก ฯ
มีอธิบายว่า
พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะให้พิสูจน์
ได้ทุกเวลาและสามารถนาไปประพฤติในชีวิตประจาวันเพื่อประโยชน์ สุขได้ ฯ
๘.
บารมี คืออะไร ?
อธิษฐานบารมี คือการทาอย่างไร ?
๘.
ปฏิปทาอันยิ่งยวด หรือคุณธรรมที่ประพฤติอย่างยิ่งยวด ได้แก่ ความดี
ที่บาเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ฯ
คือความตั้งใจมั่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
วางจุดหมายแห่งการกระทาของตน ไว้แน่นอนและดาเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่
๙.
คาต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
ก.
ชนกกรรม
ข.
อุปัตถัมภกกรรม
ค.
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม
ง.
อุปปัชชเวทนียกรรม
จ.
กตัตตากรรม
๙.
ก. กรรมแต่งให้เกิด
ข.
กรรมสนับสนุน
ค.
กรรมให้ผลในภพนี้
ง.
กรรมให้ผลในภพหน้า
จ.
กรรมสักว่าทา คือกรรมที่ทาด้วยไม่จงใจ ฯ
๑๐.
ธุดงค์ ท่านบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อะไร ? อารัญญิกังคธุดงค์
คือการ ถือปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐.
เพื่อเป็นอุบายขัดเกลากิเลส และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
คือ
การถืออยู่ป่าเป็นวัตร หมายถึงการพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า หรือ
บริเวณป่าและจะต้องห่างจากบ้านคนอย่างน้อย ๒๕ เส้น หรือ ๕๐๐ ชั่วธนู ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๖
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสาคัญต่อพระศาสดา
อย่างไร ?
๑. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสาคัญอย่างนี้
แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อ ขาดผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สาเร็จประโยชน์
ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่าน หนักไปทางไหน ในตาราทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ
? ขอฟังเหตุผล
๒. เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตารา แน่ใจ
จึงบวชตามและเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวัง นี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า
เลิกเสียเป็นอันไม่สาเร็จ เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สาเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ
อาการที่คัดค้าน และพูดถ้อยคาที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว
ฯ
๓. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลาเนาอยู่ที่ไหน ? ออกบวชเพราะเหตุไร
?
๓. อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส
เนื่องจากได้เห็นอาการของ พวกชนบริวารอันวิปริตไปโดยอาการต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้
เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนา จนบรรลุเป็นพระอรหันต์
จึงได้ออกบวช ฯ
๔.
ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ?พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้?
๔.
เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ฯ
ดีอย่างนี้คือ
ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อัน บริษัทรักใคร่นับถือ
สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนา ในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ
ฯ
๕.
เมื่อเอ่ยถึง พระสารีบุตร ทาให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง คือใคร ? ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตร
กี่วัน ?
๕.
คือพระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม
แขวงมคธ ก่อนพระ สารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตาบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร
๑๕ วัน ฯ
๖.
พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป
เพราะ การงานที่ผู้อื่นทาไม่ดี” แล้วมีใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวช
คือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้เลิศในทางไหน ? เพราะเหตุใด ?
๖.
คือ พระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะ ท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจา คือ ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร
๑ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
๗.
พระสาวก ผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร คือ ใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?
๗.
คือ พระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคาที่ย่อ ให้พิสดาร ฯ
ศาสนพิธี
๘.
ศาสนพิธี คืออะไร ?
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ มีประโยชน์อย่างไร ?
๘.
คือ พิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑.
ทาให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒.
ให้เห็นเป็นเรื่องสาคัญไม่ไร้สาระ
๓.
ทาให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี ฯ
๙.
การทาวัตร คืออะไร ?
ทาวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ?
๙.
คือ การทากิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทากิจ
ที่ต้องทาประจาจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ เรียกสั้นๆ ว่า ทาวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทาวัตรสวดมนต์นี้
บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทา
เมื่อทาประจาวันละ ๒ เวลา ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้ ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ากว่า ๑ ใน ๒๔
ชั่วโมง ฯ
๑๐.
ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘ เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะ รักษาเพียงศีล ๕
เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐.
พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕ ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่ง
พระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ
มิจฺฉาจารา...
และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์
ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑.
อภิสมาจาร คืออะไร ?
ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร ?
๑.
คือ ธรรมเนียมของภิกษุ ฯ
ถ้าล่วงละเมิดแต่บางอย่างหรือบางครั้งก็เสียหายน้อย
แต่ถ้าล่วงละเมิด มากอย่างหรือเป็นนิตย์ ธรรมเนียมย่อมกลายไปหรือเสื่อมไป ภิกษุ
จะแตกเป็น ๒ พวก คือเคร่งและไม่เคร่ง ฯ
๒.
ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตาม
วินัยแผนกอภิสมาจาร ?
๒.
พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ ไม่พึงไว้เล็บยาว พึงตัดพอเสมอเนื้อ ไม่พึงขัดเล็บ
ให้เกลี้ยงเกลาด้วยมุ่งหมายให้เกิดความสวยงาม แต่เล็บเปื้อน จะขัด
มลทินหรือแคะมูลเล็บได้อยู่ นี้เป็นกิจควรทา ฯ
๓.
ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใส ของประชาชน ?
๓.
การใช้บริขารบริโภคและเครื่องอุปโภคนั้น ภิกษุควรรู้ต้นเค้าคือนิสัย ๔ ว่า
ภิกษุย่อมนิยมใช้สอยบริขารที่เป็นของปอนหรือของเรียบๆ ไม่ใช้
ของดีที่กาลังตื่นกันในสมัยอันจะพึงเรียกว่าโอ่โถง ความประพฤติปอน
ของภิกษุนี้ย่อมทาให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนบางพวกที่เรียกว่า ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ
คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ
๔.
ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร ? มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร ?
๔.
คือ ผ้าสาหรับห่มกันหนาวหรือห่มซ้อนนอก ทรงอนุญาตเพื่อใช้ในฤดู หนาว ฯ
มีเรื่องเล่าว่า
ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้ยามหนึ่ง
ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้นจึง พอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒
ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ
๕.
พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความ
เจริญงอกงามในพระธรรมวินัย ?
๕.
พึงปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสั่งไว้ว่า ให้พระอุปัชฌาย์และ
สัทธิวิหาริกตั้งจิตสนิทสนมในกันและกัน ให้พระอุปัชฌาย์สาคัญ สัทธิวิหาริกฉันบุตร
ให้สัทธิวิหาริกนับถือพระอุปัชฌาย์ฉันบิดา เมื่อเป็น เช่นนี้
ต่างจะมีความเคารพเชื่อฟังถูกกันอยู่ ย่อมจะถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์ในพระธรรมวินัย ฯ
๖.
เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล ? และทรง สั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่าอย่างไร ?
๖.
ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกัน อย่าทอดธุระเสีย ฯ
ทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดา ของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอจะไม่พยาบาลกันเอง
ใครเล่าจะ พยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้น
พยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ
๗.
วิธิวัตร คืออะไร ?
มีความสาคัญอย่างไร ?
๗.
คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่นแบบอย่างการห่มผ้าเป็นต้น ฯ
แบบอย่างนั้นเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่าเสมอกัน
เช่นนุ่งห่ม เป็นแบบเดียวกันอันโบราณท่านจัดไว้ถ้าเป็นแบบที่ล่วงเวลาและจะ
ไม่ใช้ก็ต้องมีวิธีใหม่แทน ไม่เช่นนั้นจะค่อยหลุดไปทีละอย่าง จนไม่มี
อะไรเหลือเมื่อถึงเวลานั้นพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรที่ต่างจากชาวบ้าน ฯ
๘.
การจาพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร ? จงอธิบายพอเข้าใจ
๘.
การจาพรรษานั้น ในบาลีกล่าวเพียงให้ทาอาลัย คือ ผูกใจว่าจะอยู่ในที่นี้ ๓ เดือน
แต่ในบัดนี้มีธรรมเนียมที่ประชุมกันกล่าวคาอธิษฐานพร้อม กันว่า อิมสฺมึ อาวาเส อิม
เตมาส วสฺส อุเปม แปลความว่า เราเข้าถึง ฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน ฯ
๙.
ในการทาอุโบสถของภิกษุ การสวดปาฏิโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์ และการอธิษฐาน
ทรงให้ทาได้ในกรณีใด
๙.
ในกรณีที่ภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาฏิโมกข์ ถ้ามี เพียง ๓
รูป ๒ รูป เรียกว่าคณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตน แก่กันและกัน
ถ้ามีรูปเดียวเรียกว่าบุคคล ให้อธิษฐานใจ คือคิดว่าวันนี้ เป็นวันอุโบสถของเรา ฯ
๑๐.
คาว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ? ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้
จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐.
คือ การตั้งบริขารที่ทรงอนุญาตสาหรับภิกษุเอาไว้ใช้สาหรับตัว
(เช่นการตั้งใจใช้จีวรผืนนั้น
ไม่ใช้ผืนอื่น) ฯ
พึงทาพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า
อิม พินฺทุกปฺป กโรมิ เราทาหมาย ด้วยจุดนี้
แล้วปัจจุทธรณ์คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิม สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ
เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิ ผืนใหม่ว่า อิม สงฺฆาฏึ
อธิฏฺามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ
กระทู้ธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันศุกร์ ที่ ๑๘
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
ยมฺหิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ
อกิจฺจํ ปน กยีรติ
อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ
เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา.
คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ
ไปทำกิจที่ไม่ควรทำ เมื่อเขาถือตัว
มัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๕๔.
-------------------
แต่งอธิบายเป็นทำนองเทศนาโวหาร อ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบไม่น้อยกว่า
๒ ข้อ และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่งสุภาษิตนั้นด้วย ห้ามอ้างสุภาษิตซํ้าข้อกัน แต่จะซํ้าคัมภีร์ได้
ไม่ห้าม สุภาษิตที่อ้างมานั้น ต้องเรียงเชื่อมความให้ติดต่อสมเรื่องกับกระทู้ตั้ง.
ชั้นนี้ กําหนดให้เขียนลงในใบตอบ
ตั้งแต่ ๓ หน้า
(เว้นบรรทัด) ขึ้นไป
-------------------
ให้เวลา ๓ ชั่วโมง
ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่
๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑.
ตจปัญจกกัมมัฏฐานได้แก่อะไรบ้าง ? จัดเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
? จงอธิบาย
๑.
ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา และตโจ ฯ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเพ่ง กาหนดยังจิตให้สงบด้วยภาวนา
เป็นสมถะ ถ้าเพ่งพิจารณาถึงความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป หรือให้เห็นว่าเป็นทุกข์
คือทนอยู่ได้ยากและทนอยู่ไม่ได้ ต้อง เสื่อมสลายไปในที่สุด
หรือให้เห็นว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
พิจารณาเช่นนี้เป็นวิปัสสนา
ฯ
๒.
มหาภูตรูป คือ อะไร ? มีความเกี่ยวเนื่องกับอุปาทายรูปอย่างไร
?
๒.
คือ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน อันประกอบด้วย ธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ลม ฯ เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งรูปย่อยซึ่งเรียกว่าอุปาทายรูป
เมื่อรูปใหญ่แตกทาลายไป อุปาทายรูปที่อิงอาศัยมหาภูตรูปนั้นก็แตกทาลายไปด้วย
ฯ
๓.
พระพุทธเจ้าทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าพุทธัตถจริยา
คือทรงประพฤติอย่างไร
?
๓.
ทรงทาหน้าที่ของพระพุทธเจ้า คือ ได้ทรงแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้ บริษัททั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรู้ทั่วถึงธรรมตามภูมิชั้น
และทรงบัญญัติสิกขาบท อันเป็นอาทิพรหมจรรย์และอภิสมาจาร
ฯ
๔.
ทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน คืออะไร ?
๔.
ทิฏฐุปาทาน คือถือมั่นความเห็นผิดด้วยอานาจหัวดื้อ จนเป็นเหตุเถียงกัน ทะเลาะกัน
สีลัพพตุปาทาน คือ ถือมั่นธรรมเนียมที่เคยประพฤติมาจนชิน ด้วยอานาจความเชื่อว่าขลัง จนเป็นเหตุหัวดื้องมงาย
ฯ
๕.
มัจจุมารได้แก่อะไร ? ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะเหตุไร ?
๕.
ได้แก่ความตาย ฯ ชื่อว่าเป็นมาร เพราะเมื่อความตายเกิดขึ้น บุคคลย่อมหมด
โอกาสที่จะทาประโยชน์ใดๆ
อีกต่อไป ฯ
๖.
พระพุทธคุณบทว่า “อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า” คาว่า “บุรุษที่ควรฝึกได้” นั้น หมายถึงบุคคลเช่นไร ?
๖.
หมายถึงบุคคลผู้มีอุปนิสัยที่อาจฝึกให้ดีได้และตั้งใจจะเข้าใจพระธรรมเทศนา แม้ฟังด้วยตั้งใจจะจับข้อบกพร่องขึ้นยกโทษเช่นเดียรถีย์ก็ตาม
ฯ
๗.
กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัยและได้ชื่อว่าสังโยชน์มีอธิบายอย่างไร ?
๗.
กิเลสที่ได้ชื่อว่าอนุสัย เพราะเป็นกิเลสอย่างละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ของสัตว์
มักไม่ปรากฏ ต่อเมื่อมีอารมณ์มายั่วจึงปรากฏขึ้น ฯ กิเลสที่ได้ชื่อว่า สังโยชน์
เพราะเป็นกิเลสที่ผูกใจสัตว์ไว้กับภพไม่ให้หลุดพ้นไปได้ ฯ
๘.
ในวิมุตติ ๕ วิมุตติอย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตระ ?
๘.
ตทังควิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ จัดเป็นโลกิยวิมุตติ ส่วน สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ
และนิสสรณวิมุตติ จัดเป็นโลกุตรวิมุตติ ฯ
๙.
พุทธภาษิตว่า ผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทากรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แต่
ปรากฏว่าผู้ทากรรมชั่วยังได้รับสุขก็มี
ผู้ทากรรมดียังได้รับทุกข์ก็มี ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุใด
?
๙.
เพราะกรรมบางอย่างให้ผลในภพนี้ บางอย่างให้ผลในภพหน้า หรือในภพต่อ ๆ ไป ผู้ทากรรมชั่วได้รับสุข
เพราะกรรมชั่วยังไม่ได้ช่องให้ผลในขณะนั้น กรรมดีที่เขา ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วนั้นยังไม่สูญหายไป
ยังติดตามให้ผลอยู่ เสมอ เป็นแต่ยังไม่ได้ช่องเท่านั้น ส่วนผู้ทากรรมดี
ที่ไม่ได้รับสุขในขณะนั้น เพราะกรรมชั่วที่เขาได้ทาไว้ในอดีตกาลังให้ผลอยู่
จึงต้องรับทุกข์ลาบากอยู่ ในขณะนั้น แต่กรรมดีที่ทาไว้นั้นยังไม่สูญหายไป
ยังติดตามเขาไปเหมือนเงา ตามตัว ฉะนั้น เมื่อได้ช่องก็ย่อมให้ผลทันที ฯ
๑๐.
คาว่า “วัตร” ในธุดงควัตร หมายถึงอะไร ? ผู้ถือธุดงค์ข้อเตจีวริกังคะอย่าง
เคร่ง
มีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐.
หมายถึงข้อปฏิบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ตามแต่ใครจะสมัครถือ บัญญัติขึ้น ด้วยหมายจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ มีวิธีปฏิบัติอย่างนี้
ใช้เฉพาะไตรจีวรของตนเท่านั้น แม้จะซักหรือจะย้อมอันตรวาสก ย่อมใช้อุตตราสงค์นุ่ง
และใช้สังฆาฏิห่ม ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัย
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑.
ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๑.
ต้องอาบัติถุลลัจจัย และ ทุกกฏ ฯ
๒.
พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ?
๒.
ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
๓.
ภิกษุไม่ต้องนาผ้าไตรจีวรไปครบสารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง ?
๓.
ใน ๒ กรณี คือ
๑.
ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑.คราวเจ็บไข้
๒.สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓.ไปสู่ฝั่งแม่น้า
๔.วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕.ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖.ได้กรานกฐิน
ฯ
๒.
ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑.
ได้รับอานิสงส์พรรษา
๒.
ได้กรานกฐิน ฯ
๔.
ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสาหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะ
ของสงฆ์
ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
๔.
ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑.
อย่าทาเปรอะเปื้อน
๒.
ชาระให้สะอาด
๓.
ระวังไม่ให้ชารุด
๔.
รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕.
ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖.
ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕.
วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน
?
มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร
?
๕.
คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย
คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทาให้ ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ
แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง เป็นที่ตาหนิของบัณฑิตทั้งหลาย ฯ
๖.
ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๖.
ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๗.
อเนสนา คืออะไร ?
ภิกษุทาอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๗.
คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์และ
ทุกกฏ ฯ
๘.
ความรู้ในการทาเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ?
๘.
เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทาให้เขาสงสัยว่าลวง
ทาให้เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียน เป็นผู้หัดเพื่อลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ
๙.
สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ?
๙.
คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
๑๐.
การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกาหนด
ด้วยสงฆ์เท่าไร
?
และกาหนดเขตอย่างไร ?
๑๐.
การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กาหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ
กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จาพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น
ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่มหรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ
และให้กาหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม
กาหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และกาหนดให้ทาภายในเขตสีมา ถ้าต่ากว่า ๕ รูป
ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
ปัญหาและเฉลยวิชาวินัย
นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑. ภิกษุผู้ละเมิดสิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๑. ต้องอาบัติถุลลัจจัย และ ทุกกฏ ฯ
๒. พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ? ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร ?
๒. ไม่เกิน ๒ นิ้ว ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ
๓. ภิกษุไม่ต้องนาผ้าไตรจีวรไปครบสารับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้าง
?
๓. ใน ๒ กรณี คือ
๑. ในกรณีเข้าบ้านมีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑.คราวเจ็บไข้
๒.สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓.ไปสู่ฝั่งแม่น้า
๔.วิหารคือกุฎีคุ้มได้ด้วยดาล
๕.ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖.ได้กรานกฐิน ฯ
๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๒. ได้กรานกฐิน ฯ
๔. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสาหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะ
ของสงฆ์
ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
๔. ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑.
อย่าทาเปรอะเปื้อน
๒.
ชาระให้สะอาด
๓.
ระวังไม่ให้ชารุด
๔.
รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕.
ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ให้มีพร้อม
๖.
ของใช้สาหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๕.
วัตร ๓ คืออะไรบ้าง ? ภิกษุเหยียบผ้าขาวอันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ผิดวัตรข้อไหน
?
มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร
?
๕.
คือ กิจวัตร ๑ จริยาวัตร ๑ วิธิวัตร ๑ ฯ ผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯ
มีโทษให้เกิดความเสียหาย
คือเป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทาให้
ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ
แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่งก็รังเกียจขยะแขยง
เป็นที่ตาหนิของบัณฑิตทั้งหลาย
ฯ
๖.
ภิกษุพบพระเถระในเวลาเข้าบ้านหรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๖.
ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๗.
อเนสนา คืออะไร ?
ภิกษุทาอเนสนา ต้องอาบัติอะไรได้บ้าง ?
๗.
คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์
และ
ทุกกฏ ฯ
๘.
ความรู้ในการทาเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ?
๘.
เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ และเป็นความรู้ที่ทาให้เขา
สงสัยว่าลวง
ทาให้เขาหลงงมงาย ไม่ใช่ความรู้จริง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ฝ่ายผู้เรียน
เป็นผู้หัดเพื่อลวง
หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฯ
๙.
สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร ?
๙.
คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกันเพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ฯ
๑๐.
การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหนกาหนด
ด้วยสงฆ์เท่าไร
?
และกาหนดเขตอย่างไร ?
๑๐.
การอธิษฐานเข้าพรรษาไม่เป็นสังฆกรรมจึงไม่กาหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็น
ธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อมๆ
กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่าน ห้ามไม่ให้จาพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น
ในโพรงไม้ บนค่าคบไม้ ในตุ่ม หรือในกระท่อมผี เป็นต้น ฯ
และให้กาหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯ ส่วนการปวารณาออกพรรษาเป็นสังฆกรรม
กาหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ และกาหนดให้ทาภายในเขตสีมา ถ้าต่ากว่า ๕ รูป
ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะ ถ้ารูปเดียวให้อธิษฐานเป็นการบุคคล
ฯ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ตอบลบครับ สาธุอนุโมทามิ
ตอบลบ🙏สาธุๆๆ วันพรุ่งนี้ขอให้หนูสอบผ่านด้วยนะคะ🤗
ตอบลบตายแน่ๆกู
ตอบลบทำไงว่ะ คนยิ่งโง่เอามาสอบธรรมมะ
ตอบลบสอบผ่านไปไม่ผ่านไม่เป็นไร..ข้อแค่มีความรู้และเข้าใจหลักธรรมที่แท้จริงพอ..ครับผม
ตอบลบ